โดย พระไพศาล วิสาโล
สุด .. ได้ เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒,๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป
ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป
แม้เราจะมี " โชค " หรือได้ของดีที่ถูกใจ แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่าหรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ
บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้ เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์ เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี
แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมันและนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก
ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขาและเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา
คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึงสิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ
คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว
แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น
การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่ แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น
อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้! แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง ว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์
ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน
ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์ แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน แต่เป็นเพราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้
บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง
เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ
การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย
วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน ควักปืนออกมายิงกราด ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่ กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที
การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์ ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์ และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ
กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้ เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่ ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก
อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร
ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม! แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง
อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้
การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัวเลยเป็นเดือน! เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป
การยึดติดที่ลึกไปกว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา
ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น "ความคิดของฉัน" สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน "ตัวกู ของกู"
นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา
มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ "ตัวฉัน" ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย
เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่จึงยังมีเยื่อใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่ จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่ ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ "ของฉัน" ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย
ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้
อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า "นี่กูนะ" อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้ แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง จนอาจคำรามว่า "รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?" ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่
การยึดติดใน "ตัวกู ของกู หรือนี่กู! นะ" เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา
ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า
ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน
เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า "ฉันปวด" ความปวดเป็นของฉัน
เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า "ฉันโกรธ" ความโกรธเป็นของฉัน ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหนมัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป
ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้ เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่ แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้
สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ จากความเจ็บปวดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็น "ผู้ดู" มิใช่ "ผู้ปวด" หรือ "ผู้โกรธ"
จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง
การปล่อยวางดังกล่าว คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป
สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีตหรือวิตกกังวลกับอนาคต พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิด ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง
สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่ เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?"
ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก
แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก
นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน
พอไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ "หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ" ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา "นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา"
รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา ก็ทรงถามว่า "เป็นไง?"
คำตอบของเขาคือ "หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว" "อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ?" สมเด็จรับสั่ง "ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง"
กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้ แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้
ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็็นของหนัก และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สุขภาพแข็งแรงได้ด้วยอาหาร-ชี่กง

โดย : หัวเฉียวแพทย์จีน
หัวเฉียวแพทย์จีน แนะนำวิธีดูแลสุขภาพอย่างง่าย อ้างอิงศาสตร์การแพทยืโบราณ ที่เน้นเรื่องอาหารคือยา ควบคู่กับการออกกำลังกายสไตล์ชี่กง
การป้องกันโรคเป็นสิ่ง ที่สามารถทำได้โดยง่าย เพียงหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และเมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติก็ต้องรีบสังเกตความเปลี่ยนแปลงนั้นมากยิ่ง ขึ้น ทั้งนี้เพื่อขจัดหรือยับยั้งพัฒนาการของโรครวมถึงการประเมินและรักษาเฉพาะ จุดเป็นการขจัดการเติบโตของโรคอย่างถาวร
การป้องกันโรคสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
1. การป้องกันโรคระดับแรก หมายถึง การส่งเสริมสุขภาพโดยทั่วไปรวมถึงการปกป้อง และต่อต้านการเกิดเฉพาะโรค ได้แก่ การให้ความรู้พื้นฐานด้านสุขอนามัย การรับประทานอาหารเหมาะสมตามวัย การพัฒนาบุคลิกภาพ การทำงาน การพักผ่อน และนันทนาการอย่างเหมาะสม และการตรวจสุขภาพ
2. การป้องกันโรคระดับที่สอง หมายถึง การได้รับการวินิจฉัยในระยะแรกของโรคและได้รับการรักษาทันท่วงที ความรุนแรงของโรคที่เป็นมีระยะเวลาสั้นสามารถกลับสู่สภาวะของการมีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว
3. การป้องกันโรคระดับที่สาม เป็นการหยุดยั้งการขยายตัวของโรคและป้องกันความเสื่อมสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์
ในหลายกรณีพบว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์หลังเกิดอาการป่วยจนเกินเยียวยา โดยให้เหตุผลต่อการไม่สังเกตความผิดปกติของร่างกาย เพราะต้องทำงานมากเกินไป ในท้ายที่สุดอาจต้องจ่ายค่ารักษาสูงเกินเหตุ หรือส่งผลถึงการสูญเสียชีวิต
สำหรับการบำรุงสุขภาพ ศาสตร์การแพทย์จีนเชื่อว่าการบำรุงสุขภาพด้วยยา หรือสารสังเคราะห์ทางเคมี ย่อมจะดีสู้การบำรุงสุขภาพด้วยอาหารไม่ได้ ดังนั้นการแพทย์จีนจึงเน้นการสร้างความเชื่อจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ว่า...ควร ให้”อาหาร”เป็น”ยา”บำรุงสุขภาพ...ซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัย ราชวงศ์โจว หรือประมาณ 1000ปีเศษก่อนคริสต์กาล ประเพณีดั้งเดิมที่ให้การแพทย์และอาหารการกินประสานเข้าอันหนึ่งอันเดียวกัน นั้นก็มีปรากฎให้เห็นอยู่แล้ว ในหนังสือโบราณมีข้อเขียนจำนวนมากเกี่ยวกับการบำรุงสุขภาพด้วยอาหาร
เช่น เมื่อสมาชิกครอบครัวเป็นหวัด คนในบ้านก็จะต้มน้ำขิงและก้านของต้นหอมใส่น้ำตาลให้กิน ถ้าคนไข้ดื่มน้ำดังกล่าวนี้ในยามร้อน ก็จะทำให้ร่างกายมีออกเหงื่อ โดยทั่วไปมักจะได้ผล
เกี่ยวกับวิธีการบำรุงสุขภาพประจำวัน ชาวจีนมีข้อคิดเห็นว่า ควรจะกินขิงในยามเช้าและกินหัวผักกาดก่อนนอน นอกจากนี้เครื่องปรุงรส เช่น เกลือ น้ำส้ม และขิง ฯลฯ ล้วนมีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการออกกำลังกายในแบบ”ชี่กง” ซึ่งเป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังชีวิตขึ้นในร่างกาย ทั้งนี้เพราะศาสตร์การแพทย์จีนเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีพลังอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไป แต่เมื่อเป็นคนไข้ก็ย่อมมีพลังชีวิตเช่นนี้น้อยกว่าคนปกติ ผู้ที่ฝึก”ชี่กง”มาพอสมควร ก็มีจะพลังชีวิตที่สูงกว่าคนทั่วไป
ศาสตร์การแพทย์จีนได้กล่าวถึงความสำคัญของสมดุลและการไหลเวียน เหมือนกับน้ำที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน เส้นของพลังงานในร่างกายที่มองไม่เห็นจะชักนำชี่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งชี่จะไปตามเลือด การอุดตันของเส้นพลังงานอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและโรคภัยต่างๆ ซึ่งรักษาได้ด้วยการฝังเข็ม การกดจุด และการออกกำลังการในแบบ”ชี่กง”
สำหรับในช่วงเวลานี้ ผู้คนมีความเครียดทางจิตใจมากกว่าปกติ (ผลกระทบจากการเมือง) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเสียสมดุลย์ของร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เป็นต้นเหตุของโรคทางร่างกายและจิตใจเนื่องจากความเครียด ตั้งแต่หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ ไมเกรน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด ฯลฯ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลย์ไป ก็เนื่องมาจากการทำงานที่มากเกินไปของระบบประสาทอัตโนมัติที่จะแสดงออกมาใน รูปของใจสั่น เหงื่อแตก ความดันโลหิตสูงขึ้น และฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นได้ชัดที่หลอดเลือดส่วนปลายของมือและเท้า คนที่มีความเครียดจึงมีมือเท้าเย็น ซีด เป็นที่สังเกตได้ง่าย
“การฝึกชี่กง” จะเริ่มตั้งแต่การฝึกหายใจ โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย แต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาท ซึ่งจะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน
การฝึกชี่กงจะทำให้การไหลเวียนของเลือด ดีขึ้น ความเครียดลดลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น อย่างไรก็ตามชี่กงมีกระบวนท่ามากมาย ผู้ฝึกจึงสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับตนเอง
บทความนี้เรียบเรียงจากการบรรยายเรื่อง การป้องกันโรคและการบำรุงสุขภาพโดยศาสตร์การแพทย์แผนจีน วิทยากรโดยแพทย์จีนหยางฉวนเหวี่ยน และนายสุวัฒน์ ลี้ชาญกุล รองผู้อำนวยการหัวเฉียวแพทย์จีน สำหรับผู้สนใจการบรรยายความรู้ทางสุขภาพเรื่องต่างๆ ซึ่งจัดทุกวันจันทร์สุดท้ายของเดือน สามารถสอบถามและสำรองที่นั่งเข้าร่วมฟังได้ที่คุณเพชรรา รักษ์สาคร โทร. 0-2223-1111 ต่อ102 และ 103
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20100612/337137/สุขภาพแข็งแรงได้ด้วยอาหาร-ชี่กง.html
Nine reasons to drink green tea daily

By Michelle Schoffro Cook
Have you been wondering “what’s all the fuss about green tea?” Now you can stop wondering and start drinking ... green tea, that is. This flavorful beverage offers many health benefits to anyone who drinks it regularly. Green tea contains a potent plant nutrient known as epigallocatechin gallate, or EGCG, for short. But don’t fret, you don’t have to keep track of its chemical name to reap the health benefits.
Here are nine reasons to start drinking green tea or continue drinking it if you’re already hooked.
1. Green tea is a superb fat fighter. Its active ingredient, EGCG, increases the rate at which fat is burned in your body.
2. It targets belly fat. Research at Tufts University indicates that EGCG in green tea, like other catechins, activate fat-burning genes in the abdomen to speed weight loss by 77 percent.
3. Green tea keeps energy stable by balancing blood sugar levels. EGCG improves insulin use in the body to prevent blood sugar spikes and crashes that can result in fatigue, irritability, and cravings for unhealthy foods.
4. Research shows it may be helpful against lung cancer. In an April 2010 study published in Cancer Prevention Research, EGCG was found to suppress lung cancer cell growth.
5. Green tea may halt colorectal cancer. In numerous other studies, EGCG appears to inhibit colorectal cancers.
6. In research, it appears to cause prostate cancer cells to commit suicide. A March 2010 study in Cancer Science indicated that EGCG aids the body by causing prostate cancer cells to commit suicide.
7. Green tea may prevent skin damage and wrinkling. EGCG appears to be 200 times more powerful than vitamin E at destroying skin-damaging free radicals. Free radicals react with healthy cells in the body, causing damage, so lessening their numbers may help reduce wrinkling and other signs of aging.
8. It contains a potent antioxidant that kills free radicals. Because it is a potent antioxidant green tea can positively impact a lot more than skin cells. Free radicals are increasingly linked to many serious chronic illnesses like arthritis, diabetes, and cancer.
9. Green tea tastes good. If you’re not wild about the flavor, try a few different kinds. Try it iced or hot. Add some of the natural herb stevia to sweeten it if you want a sweeter drink. I wasn’t crazy about green tea the first few times I tried it, but now I love it with a fresh squeeze of lemon and a few drops of stevia over ice -- et voila! Green tea lemonade.
http://shine.yahoo.com/event/green/nine-reasons-to-drink-green-tea-daily-1609132/
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
คำสอนดีๆ ของหลวงพ่อชา
หลวงพ่อชา… “คนเลี้ยงไก่”
มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้า เข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรง
เรือน เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!
คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้านเขา เอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือ เขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....
ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่ " หรือ เก็บ"ขี้ไก่"
เรา เป็นคนเก็บ "ขี้ไก่"โดยเฝ้า แต่เก็บ เรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!!!
หรือเราเป็นคนที่เก็บ"ไข่ไก่"เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!
คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ
มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน
ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ"ไข่ไก่"กับชีวิต ทิ้ง "ขี้ไก่"ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที...
มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้า เข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ แล้วก็เก็บ "ขี้ไก่" ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!!แล้วทิ้งไข่ไก่ให้เน่าไว้ในโรง
เรือน เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!! คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!
คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่ เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้านเขา เอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือ เขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก.....
ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ "ไข่ไก่ " หรือ เก็บ"ขี้ไก่"
เรา เป็นคนเก็บ "ขี้ไก่"โดยเฝ้า แต่เก็บ เรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!!!
หรือเราเป็นคนที่เก็บ"ไข่ไก่"เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!
คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ "ขี้ไก่" เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ
มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน
ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ"ไข่ไก่"กับชีวิต ทิ้ง "ขี้ไก่"ไปเถอะ ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที...
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้
ทิ้งท้ายกันที่ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข ปัจจุบันอายุ 85 ปี ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าจะอยู่ให้ถึงอายุ 120 ปี เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหนังสือ "อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้" ว่า การปฏิบัติตนให้มีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปีนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้
1. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังแอโรบิกไปจนตายนั้น ให้ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรง ต้องออกแรง (หรือทำงานกลางแจ้งตลอดชีวิต)
2. ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือ พืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน ผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 ตีน และ 2 ตีน วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว งด หรือลดมื้อเย็น ใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น (ผักสด ผลไม้สด) ทำให้อายุยืน ในขณะที่อาหารอายุยืน (กระป๋อง หรืออาหารซอง เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม) จะทำให้อายุสั้น
3. ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว (ไม่ดื่มขณะกินอาหาร และอย่ารอให้รู้สึกกระหายแล้วจึงดื่ม แต่ควรดื่มบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ดีที่สุด)
4. ต้องพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และการทำจิตใจให้สงบ จะช่วยทำให้ภูมิต้านทานในตัวมีสูงมาก เชื้อโรคจะแพ้เรา และจะต้องไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตัวเอง ครอบครัว และสังคม หากเป็นไปได้ ให้ฝึกเจริญสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจสิน ดำเนินชีวิตทุกๆ ด้านด้วยปัญญา (ศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขา) และจงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง การจะนอนหลับให้สนิท อาหารมื้อเย็นจะต้องน้อยมาก
5. หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด โดยยึดหลัก "ไตรสิกขา" คือรักษาศีล 5 ข้อ เจริญสมาธิ หรือเจริญสติก็จะเกิดปัญญารู้ เอาปัญญาไปแก้ปัญหา นอกจากนั้นก็ควรรู้จักให้ทาน (ทานเป็นทางแห่งความสุข) และตั้งโปรแกรมจิตให้กับตัวเองทุกวัน เวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกาย คือ ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดี อยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไปเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ ซอฟต์แวร์ ที่หมายถึง "จิต" ของเรานั่นเอง
เพราะฉะนั้น การจะตั้งใจให้ได้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา นั่นคือความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติตัว ใจจะต้องจดจ่อกับสิ่งนั้นๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ
คัดลอกมา
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
พุทธธรรม ศีลธรรม กับประชาธิปไตย
พระไพศาล วิสาโล
ปาฐกถานำในการประชุมประจำปีของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย
ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตีพิมพ์ที่ นิตยสารวิภาษา
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวัฒนธรรม
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๖ ลำดับที่ ๒๒
๑พ.ย. - ๑๕ ธ.ค. ๕๒
ระบอบการปกครองทุกอย่างจะทำงานได้ด้วยดีย่อมต้องอาศัยระบบศีลธรรมทั้งของผู้ปกครองและประชาชนเป็นตัวรองรับ ระบอบประชาธิปไตยก็เช่นกัน ในระบอบนี้ศีลธรรมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือศีลธรรมของประชาชน เหตุผลก็เพราะผู้นำนั้นมาจากประชาชน ถ้าประชาชนมีศีลธรรมก็ย่อมได้ผู้นำที่มีศีลธรรมด้วย ใช่แต่เท่านั้นระบอบนี้ยังถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ ในความหมายว่าประชาชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับประเทศ ดังนั้นคุณภาพของประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับสัมฤทธิผลของประชาธิปไตย
พุทธศาสนามีระบบศีลธรรมที่สามารถส่งเสริมคุณภาพของประชาชนให้เกื้อกูลต่อประชาธิปไตยได้ การที่ประชาธิปไตยสถาปนาในสังคมที่มีพุทธศาสนาหยั่งรากลึกมาช้านาน ย่อมน่าจะเจริญก้าวหน้าด้วยดี แต่ในกรณีของประเทศไทยความจริงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุปัจจัยนั้นย่อมมีอยู่มากมาย แต่ก็เป็นไปได้ว่าระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาที่เป็นอยู่ อาจไม่เกื้อกูลต่อระบอบประชาธิปไตยมากนัก
สองมิติที่ขาดหายไป
ในความเข้าใจของคนทั่วไป พุทธศาสนาเป็นคำสอนและระบบปฏิบัติทางศีลธรรมเท่านั้น นั่นคือสอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทัศนะดังกล่าวมีปัญหาในตัวเองตรงที่
๑) ละเลยมิติด้านโลกุตตรธรรมของพุทธศาสนา ซึ่งมีจุดหมายสูงสุดที่การเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งจนอยู่เหนือดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ นั่นคือเข้าถึงนิพพาน
๒) ละเลยมิติทางสังคมของพุทธศาสนา ในความหมายที่ว่า
-พุทธศาสนาไม่ได้มีแต่หลักธรรมที่มุ่งพัฒนาบุคคลเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดีงามด้วย ทั้งส่วนที่เป็นธรรมและวินัย
-นอกจากหลักธรรมว่าข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคลแล้ว ยังมีหลักธรรมว่าด้วยหน้าที่ต่อบุคคลต่อส่วนรวมหรือสังคมด้วย
หากมิติทางโลกุตตรธรรมทำให้มนุษย์เข้าถึงศักยภาพส่วนที่ลึกที่สุด มิติทางสังคมก็ช่วย ขยายสำนึกและสัมพันธภาพของมนุษย์ออกไปอย่างกว้างขวาง จนหลุดพ้นจากตนเองหรือแวดวงเล็ก ๆ ที่แวดล้อมตน เกิดสำนึกความรับผิดชอบและผูกพันต่อสังคมวงกว้าง
การที่ศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่สอนในปัจจุบันเน้นคุณธรรมส่วนบุคคลหรือการทำดีระหว่างบุคคลต่อบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับชุมชนระดับหมู่บ้าน แต่ในสังคมประชาธิปไตย คุณธรรมระดับนี้ย่อมไม่พอเพียง เพราะทุกคนยังมีหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อส่วนรวมซึ่งเป็นสังคมที่กว้างใหญ่ระดับรัฐชาติ
ในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ระดับบุคคลหรือระหว่างบุคคล แต่ยังมีความสัมพันธ์ในเชิงสังคม ซึ่งไม่เจาะจงหรือขึ้นอยู่กับตัวบุคคล (impersonal) เช่นความสัมพันธ์ที่ผ่านองค์กร สถาบัน ระบบ หรือการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยความเชื่อ ค่านิยมและอุดมการณ์เดียวกัน โดยไม่จำต้องรู้จักมักคุ้นกัน
ความปกติสุขในสังคมและความผาสุกส่วนบุคคลในปัจจุบัน จึงมิได้ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลมีธรรมะต่อกันและกันเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อสังคมอย่างถูกต้อง เช่น คำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคม เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม รักษาสมบัติของสาธารณะ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ปกป้องสิทธิเสรีภาพที่ยึดถือร่วมกัน เป็นต้น
ปัญหาดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาของพุทธศาสนามากเท่ากับเป็นปัญหาของการสอนศีลธรรมในปัจจุบัน เพราะระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาในความเป็นจริงแล้ว นอกจากพูดถึงคุณธรรมส่วนบุคคล หรือข้อประพฤติปฏิบัติระหว่างบุคคล เช่น ศีล ๕ ทิศ ๖ หรือพรหมวิหาร ๔ ยังครอบคลุมไปถึงคุณธรรมต่อส่วนรวม มีธรรมหลายข้อที่ว่าด้วยข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมโดยตรง โดยไม่เพียงแต่จะพูดถึงข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคล(เช่น สาราณียธรรม ๖ หรือหลักการอยู่ร่วมกัน) เท่านั้น หากรวมถึงข้อปฏิบัติต่อหลักการหรือสมบัติของส่วนรวม (เช่น อปริหานิยธรรม ๗ หรือธรรมอันเป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวของหมู่ชน)
อปริหานิยธรรมเป็นคุณธรรมที่ไม่เน้นแสดงต่อตัวบุคคล แต่เป็นข้อปฏิบัติต่อส่วนรวมที่เป็นนามธรรม จะว่าไปแล้ว นี้เป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของชาวพุทธเลยทีเดียว พระพุทธองค์ถึงกับกำหนดหน้าที่ของชาวพุทธไว้ว่า นอกจากจะมีหน้าที่ต่อตนเอง คือศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ตลอดจนมีหน้าที่ต่อผู้อื่น ได้แก่การแนะนำผู้อื่นให้รู้ธรรมอย่างถูกต้องแล้ว ยังจะต้องมีหน้าที่ต่อธรรม คือสามารถรักษาธรรมหรือหลักการของพุทธศาสนาไว้ได้ หน้าที่ประการสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ต่อส่วนรวม เพราะเป็นประโยชน์ต่อหมู่ชนอย่างไม่เลือกหน้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
สาเหตุที่ศีลธรรมหรือข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมถูกมองข้ามหรือเข้าใจไม่ครบถ้วน นอกจากเป็นเพราะไปเน้นที่ศีลธรรมส่วนบุคคลมากเกินไปแล้ว ยังเป็นเพราะการตีความหลักธรรมที่คลาดเคลื่อน เช่น อุเบกขา มีความเข้าใจว่าหมายถึงการวางใจเป็นกลางเท่านั้น แต่ที่จริงอุเบกขามิได้หมายความแค่วางใจเป็นกลางเฉย ๆ หากแต่เป็นการวางใจเป็นกลางที่มีจุดหมายเพื่อไม่ให้มีการละเมิดธรรมหรือเสียหลักการ ทั้งนี้เพราะถ้าปราศจากอุเบกขาแล้ว ความเมตตากรุณาที่มีต่อตัวบุคคล อาจทำให้เลยเถิดจนเป็นผลเสียต่อธรรมได้ เช่น ช่วยเพื่อนโดยเอาเงินของส่วนรวมไปให้เขา พุทธศาสนาเน้นอุเบกขาในกรณีดังกล่าว เพื่อรักษาธรรมหรือหลักการของส่วนรวมเอาไว้ เป็นการป้องกันส่วนรวมมิให้เสียหาย เห็นได้ชัดว่าอุเบกขานั้นเป็นธรรมที่ช่วยให้บุคคลตระหนักถึงหน้าที่ที่มีต่อธรรมและหลักการของส่วนรวม มิใช่คำนึงแต่หน้าที่หรือคุณธรรมต่อตัวบุคคลเท่านั้น
การไม่สนใจทำหน้าที่ต่อส่วนรวมนี้เอง ที่ทำให้ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ว่าได้เฉยเมยหรือไม่นำพาต่อปัญหาบ้านเมือง มุ่งแต่รักษาศีล ๕ หรือสนใจแต่ทำทาน แต่ปล่อยให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น อาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง รวมทั้งไม่อินังขังขอบต่อปัญหาที่คุกคามระบอบประชาธิปไตย จะพูดไปแล้วอย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลย แม้แต่ปัญหาที่เกิดกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เช่น เวลาที่พระธรรมวินัยถูกจ้วงจาบหรือบิดเบือน ชาวพุทธจำนวนมากก็นิ่งเฉย เห็นได้ชัดเมื่อเกิดกรณีธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่องบิดเบือนพระธรรมวินัย ไม่แต่คฤหัสถ์เท่านั้น กระทั่งพระกรรมฐานจำนวนไม่น้อยก็ไม่เอาธุระ กลับเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมไป
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ระบบศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่เป็นอยู่ไม่ค่อยเอื้อต่อประชาธิปไตย นั่นก็คือความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อหรือถึงกับมีอคติต่อหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ได้แก่ เสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ที่ผ่านมาชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นอันมากมีท่าทีปฏิเสธคำเหล่านี้ เพราะเห็นว่า เป็นคำที่ส่งเสริมกิเลสหรือการเอาตัวเองเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับคำว่าสิทธิ ที่ชาวพุทธมักมองว่าเป็นแนวคิดที่อิงอยู่กับการยึดถือประโยชน์ส่วนตน คิดแต่จะเรียกร้องสิ่งที่ตนพึงมีพึงได้จากผู้อื่น
เป็นความจริงที่ว่าเสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ตามนิยามในระบอบประชาธิปไตยมิได้มีอยู่ในระบบศีลธรรมของพุทธศาสนามาก่อน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขัดกัน หากมีการนิยามเสรีภาพและเสมอภาคในแง่ที่เปิดโอกาสให้มีการฝึกฝนพัฒนาตนและช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น เช่นเดียวกับอิสรภาพที่นิยามให้คลุมไปถึงมิติด้านจิตใจด้วย ในทำนองเดียวกันสิทธิก็มิได้หมายความถึงการเรียกร้องเอาเข้าตัวอย่างเดียว แต่รวมถึงการมีหน้าที่ที่จะต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งปกป้องสิทธิของผู้อื่นเวลาถูกล่วงละเมิดด้วย มองในแง่นี้สิทธิจึงเป็นแนวคิดที่แยกไม่ออกจากคุณธรรมหรือศีลธรรมของชาวพุทธ ต่างทำหน้าที่ประสานกัน กล่าวคือขณะที่ศีล ๕ หรือเมตตากรุณาเป็นข้อพึงปฏิบัติระหว่างบุคคลต่อบุคคล สิทธิก็เป็นข้อพึงปฏิบัติของบุคคลต่อสังคม
โลกุตตรธรรมกับประชาธิปไตย
มิติทางสังคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบศีลธรรมของพุทธศาสนา ที่ทำให้สำนึก และความรับผิดชอบตลอดจนสัมพันธภาพของผู้คนขยายออกไปสู่สังคม ไม่จำกัดอยู่แค่ครอบครัวหรือชุมชนเท่านั้น แต่มิติทางสังคมดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นลอย ๆ หากอิงอยู่กับความจริงของธรรมชาติที่เรียกว่าสัจธรรม
สัจธรรมในพุทธศาสนานั้นโดยเฉพาะในฝ่ายโลกุตตรธรรม ชี้ให้เราตระหนักว่าสัมพันธภาพของมนุษย์นั้นยังขยายกว้างออกไปยิ่งกว่านั้นอีก กล่าวคือไม่เพียงเชื่อมโยงกับผู้คนในสังคมเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงกับสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลด้วยซ้ำ หลักธรรมที่ว่านั้นก็คืออิทัปปัจจยตา นั่นคือความจริงที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยอิสระ หากเกิดขึ้นโดยมีสิ่งอื่นเป็นเหตุปัจจัย ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวถึงสหสัมพันธ์ของสรรพสิ่งได้อย่างงดงามว่า
“เมื่อคุณมองเก้าอี้ตัวนี้ คุณเห็นป่าไม้อันเป็นที่มาของไม้ที่ใช้ทำเก้าอี้ตัวนี้ไหม คุณเห็นดวงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องป่าไม้ และหมู่เมฆซึ่งโปรยฝนบำรุงเลี้ยงป่าไหม คุณเห็นคนตัดไม้และครอบครัวของเขาไหม และข้าวที่เลี้ยงชีวิตของพวกเขาล่ะ คุณเห็นทั้งหมดนี้ในเก้าอี้ตัวนี้ไหม เก้าอี้ประกอบด้วยสรรพสิ่งที่มิใช่เก้าอี้ คุณเห็นดวงอาทิตย์ในหัวใจของคุณไหม เห็นบรรยากาศในปอดของคุณไหม สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่ในสภาพที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และต่างเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน”
การที่เรายังเป็นเราอยู่ได้ ก็เพราะสรรพสิ่งในโลกเป็นปัจจัยให้เกิดมีขึ้น ไม่ใช่แค่พ่อแม่และชุมชน สังคมเท่านั้น แต่รวมถึงธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเราเพราะมีโลก ไม่มีโลกก็ไม่มีเรา การเห็นความจริงเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดเมตตากรุณาขึ้นในใจ มีความรักอย่างไม่มีประมาณต่อสรรพสิ่งในโลก เพราะเส้นแบ่งระหว่างฉันกับโลกไม่มีอีกต่อไป ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดปัญญาเห็นความจริงเรื่องอนัตตาว่าสรรพสิ่งนั้นไม่ มีตัวตนที่เที่ยงแท้ เป็นอิสระเอกเทศเลย จึงไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่าง
จึงเห็นได้ว่าอนัตตากับสหสัมพันธ์ตามหลักอิทัปปัจจยตานั้นเป็น ๒ ด้านของความจริงอย่างเดียวกัน ในด้านหนึ่ง ทุกอย่างไม่มีตัวตน แต่ในอีกด้านหนึ่งทุกอย่างต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กันหมด ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้รู้บางท่านบอกว่า เมื่อมองเข้ามาข้างใน ตัวฉันหามีไม่ แต่เมื่อมองออกไปฉันมีอยู่ในทุกสิ่ง
การที่พุทธศาสนาถูกลดทอนใน ๒ มิติ ทั้งด้านโลกุตตรธรรมและสังคม ทำให้ความจริงอันได้แก่ธรรมชาติส่วนลึกที่สุดและส่วนที่กว้างที่สุดของมนุษย์ถูกมองข้ามไป ผลก็คือ
๑) มนุษย์จึงกลายสภาพเป็นปัจเจกหรือบุคคลที่มีสังกัดคับแคบ จึงคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนหรือพวกพ้อง ไม่สามารถคิดไปไกลถึงประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนร่วมโลกได้ การทำความดีจึงนอกจากมีขอบเขตแค่ทำความดีต่อคนใกล้ตัว หรือทำความดีในระดับบุคคลต่อบุคคล แต่ละเลยการทำความดีต่อสังคมหรือต่อโลก หรือหากจะทำดีต่อสังคมก็หวังประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เช่น “หวังบุญ”
๒) มีชีวิตขึ้นลงไปตามโลกธรรมและตามอำนาจของกรรมดีกรรมชั่วเท่านั้น ไม่สามารถอยู่เหนือโลกธรรมหรือเป็นอิสระจากแรงกรรมทั้งดีและชั่วได้ แม้ทำดีก็ยังติดดีอยู่ เมื่อได้รับสุขก็ยังติดในสุขโดยมองไม่เห็นความไม่เที่ยงของมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
ทัศนะดังกล่าวไปได้ดีกับแนวคิดแบบโลกียวิสัย ( secularism) และแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “โลกนี้” และประโยชน์ที่จับต้องได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับแนวคิดแบบทุนนิยมและบริโภคนิยมก็มีปัญหา เพราะนอกจากไม่มีพลังที่จะต้านทานแนวคิดดังกล่าวได้ แถมยังถูกแนวคิดดังกล่าวครอบงำได้ง่าย พุทธศาสนาจึงกลายเป็นศาสนาที่เน้นประโยชน์ทางวัตถุ หรือตอบสนองความโลภ โดยไม่เพียงให้ความหวังหรือคำปลอบใจเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้ลดละความเพียร แต่หวังผลสำเร็จด้วยวิธีลัดหรือคอยโชคที่เกิดจาก “ผลบุญ”
อย่างไรก็ตามการฟื้นพลังให้แก่พุทธศาสนา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และมีความจำเป็น เพราะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตนานาชนิด ซึ่งแก้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง หรือวิธีคิด-โลกทัศน์แบบเดิม ๆ เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดรากเหง้าของวิกฤตทั้งหลายก็คือวิกฤตทางด้านจิตวิญญาณ (นอกจากเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง และโลกทัศน์เดิมจะแก้วิกฤตดังกล่าวไม่ได้แล้ว มันยังซ้ำเติมหรือมีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตดังกล่าวด้วย)
วิกฤตด้านจิตวิญญาณนั้นสะท้อนให้เห็นจากวัฒนธรรม ๒ กระแสใหญ่ซึ่งก่อปัญหาไปทั่วโลกได้แก่
๑)วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
๒)วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
คือวัฒนธรรมที่กระตุ้นความละโมบของผู้คนทำให้เกิดความต้องการอย่างไม่มีขีดจำกัด ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ พื้นฐานของวัฒนธรรมนี้คือแนวคิดว่า greed is good ในด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ การคอรัปชั่น การตักตวงประโยชน์จากทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยังจนถึงจุดวิกฤต ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ทำให้ความยากจนแพร่กระจาย ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สินในคนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์ หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์ ใช่แต่เท่านั้นลึก ๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม ถึงกับทำสิ่งที่เป็นโทษต่อตัวเอง เช่น ขายตัวเพื่อแลกกับโทรศัพท์มือถือ หรือฆ่าตัวตายเมื่อไม่ได้วัตถุที่ต้องการ
วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
ทุกวันนี้ความเกลียดชังได้แพร่สะพัดจนกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คน ปรากฏอยู่ในสื่อและการแสดงออกของผู้คนอย่างกว้างขวาง มีการปลุกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อคนที่แตกต่างจากตนไม่ว่าในทางชาติพันธุ์ ผิวสี ภาษา ศาสนา รวมไปถึงเศรษฐฐานะ ความเชื่อ และ สถาบันที่สังกัด ควบคู่กันกันสำนึกดังกล่าว ก็คือการเหยียดคนที่มีอัตลักษณ์ต่างจากตนว่าเป็นผู้ที่ด้อยกว่า ความรังเกียจเดียดฉันท์ดังกล่าวนำไปสู่ความรุนแรงในทุกระดับ สงครามและความรุนแรงจึงเกิดขึ้นไปทั่ว
ในเมืองไทยการตั้งคำถามกับคนที่คิดต่างจากตนว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” สะท้อนถึงความคับแคบทางความคิด และนำไปสู่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ยิ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ก็ยิ่งเห็นอำนาจของความเกลียดชังที่แพร่ระบาดไปทั่ว
ประชาธิปไตยถูกบั่นทอน
ทั้งวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ได้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกได้ก็เพราะอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ในด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจก็ทำให้ทุนนิยมและบริโภคนิยไหลบ่าไปทั่ว ทุกหัวระแหงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กระตุ้นให้ผู้คนเกิดความโลภและแข่งขันกันตักตวงเงินทองและทรัพยากร ในอีกด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางโทรคมนาคมก็ทำให้การสร้างความอคติและเกลียดชัง ต่อกันแพร่หลายไปรวดเร็วขึ้น ไม่เคยมียุคใดที่ความเท็จหรือความจริงครึ่งเดียวจะกระจายได้รวดเร็วเท่ายุค นี้ ขณะเดียวกันการรุกรานของอำนาจทุนที่ตักตวงประโยชน์จากชุมชนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความยากจน จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่น จนเกิดเป็นความรุนแรง เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อพลังภายนอก และเกิดความแตกแยกในชุมชนเดียวกัน
วัฒนธรรมทั้ง ๒ กระแสได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง กล่าวคืออำนาจทุนเข้ามามีอิทธิพลในทางการเมือง เช่น ติดสินบน ซื้อเสียง ซื้อนักการเมือง การสร้างแรงกดดันผ่านสื่อและกลุ่มลอบบี้ยิสต์ รวมทั้งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อทำธุรกิจการเมือง นอกจากนั้นยังทำให้ผู้คนหลงใหลกับบริโภคนิยม หมกมุ่นแต่ตัวเองจนไม่สนใจมีส่วนร่วมทางการเมือง ขณะเดียวกันความเกลียดชังด้วยเหตุผลทางด้านอุดมการณ์ ยังทำให้การแตกแยกของคนในชาติ จนนำไปสู่การใช้เสียงส่วนมากเพื่อปิดปาก/เบียดบังคนส่วนน้อย พร้อมกันนั้นการไม่ยอมรับความเห็นของกันและกันได้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง แทนที่จะใช้สันติวิธี
ทั้งหมดนี้ได้ซ้ำเติมประชาธิปไตยไทยซึ่งมีปัญหาต่าง ๆ รุมเร้ามากมาก อยู่แล้วมากมาย ทั้งปัญหาในเชิงหลักการและในเชิงกระบวนการ กล่าวคือ ในแง่หลักการ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานอันได้แก่ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มีการคุกคามเบียดบังสิทธิเสรีภาพมากขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางผ่านนโยบาย ประชานิยม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงขยายตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนั้นยังเกิดการแบ่งแยกเป็นขั้ว ๆ แตกเป็นกลุ่ม ๆ ตามเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อุดมการณ์
ปัญหาในเชิงกระบวนการ ได้แก่ การตัดสินใจแบบอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย คือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หาไม่ก็ตัดสินตามกระแสนิยม ขณะเดียวกันการรับรู้ข้อมูลก็เป็นไปอย่างไม่รอบด้าน คำนึงประโยชน์ระยะสั้น ถูกใจมากกว่าถูกต้อง ผู้คนไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลที่แตกต่าง ความคิดคับแคบ ถือพวกถือเหล่า ยังไม่นับปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง
ผลก็คือประชาธิปไตยไทยเกิดภาวะวิกฤต อันได้แก่ วิกฤตความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ เนื่องจากผู้ปกครองใช้อำนาจเกินขอบเขต ผูกขาดการใช้อำนาจ ไม่เปิดพื้นที่ให้แก่คนที่เห็นต่าง เป็นรัฐบาลของคนบางกลุ่ม อีกทั้งยังทุจริต มุ่งประโยชน์ส่วนตน
สิ่งที่ตามมาคือ ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง เกิดความแตกแยกทางการเมือง ในทุกระดับ และในหลายภาคส่วน (เช่นระหว่าง ชนชั้นนำ กับ ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง กับ คนชั้นล่าง คนเมือง กับ คนชนบท รวมทั้งระหว่างรัฐกับสังคม) คนส่วนน้อยไม่ยอมรับเสียงข้างมาก ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ไม่ฟังเสียงคนกลุ่มน้อย เกิดช่องว่างทางสังคมเศรษฐกิจ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น (เกิดปรากฏการณ์หนึ่งรัฐ สองสังคม) มีการเอาเปรียบคนส่วนน้อย โดยรัฐไม่สามารถและไม่สนใจแก้ปัญหาของคนเล็กคนน้อย กลายเป็นว่ายิ่งรัฐมีอำนาจครอบงำมากเท่าไร สังคมยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น นอกจากนั้นยังเกิดภาวะยอกแย้ง กล่าวคือขณะที่มีการเชื่อมโยงบูรณาการระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับมีการแตกสลายภายในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดนี้ทำให้มีการตั้งคำถามกับระบบการเลือกตั้ง จนไม่สามารถจะใช้การเลือกตั้งเป็นทางแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้
ประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้ด้วยดี นอกจากจะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการปฏิรูปสังคมแล้ว ยังต้องอาศัย “วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้” เพื่อมาทัดทานถ่วงดุลกับวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ด้วย
วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ กล่าวคือเป็นไปเพื่อการตื่นจากความหลงในวัตถุนิยม และจากความยึดติดถือมั่นในเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สีผิว และอุดมการณ์ อันนำไปสู่การเบียดเบียนทำร้ายกัน
พุทธศาสนาสามารถช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ได้ เพราะมุ่งที่การลดทอนตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งวัตถุนิยมและความเกลียดชังกัน พุทธศาสนาเน้นว่าความสุขนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเสมอไป นอกจากความสุขทางกายแล้ว เรายังต้องการความสุขทางจิตใจ และความสุขทางใจนี้เองที่เป็นความสุขที่ลึกซึ้งที่สุดที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึงให้ได้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์จึงมิได้อยู่ที่การครอบครองวัตถุให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การเข้าถึงความสุขทางจิตใจด้วยตนเอง และเอื้อให้ผู้อื่นเข้าถึงด้วยเช่นกัน
นอกจากโลกทัศน์ที่เห็นมนุษย์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งแล้ว พุทธศาสนายังเอื้อให้เกิดโลกทัศน์ที่มองเห็นมนุษย์อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชีวิต สังคม และธรรมชาติไม่อาจแยกจากกันได้ ความผาสุกของเราแต่ละคนผูกติดอยู่กับความผาสุกของผู้คนรอบข้าง สังคมรอบตัว และธรรมชาติแวดล้อม สำนึกดังกล่าวจะช่วยให้เราอ่อนโยนต่อธรรมชาติและรู้สึกถึงบุญคุณของสรรพ ชีวิตและทุกผู้คนในสังคมมากขึ้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง ไม่มองตนเองในกรอบแคบ ๆ โดยมองคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาเป็นคนอื่น หากมองเห็นมนุษย์ทุกคนและทุกชีวิตว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยู่ภายใต้สาย สัมพันธ์เดียวกัน มีความรักและความเห็นอกเห็นใจกันนมากขึ้น
พุทธศาสนายังช่วยให้เห็นถึงข้อจำกัดของทวินิยม และหันมามองโลกแบบอทวินิยมมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมองโลกแบบทวินิยมนำไปสู่การเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน รวมทั้งก่อความรุนแรงต่อกัน ในด้านหนึ่งการแยกฉันกับโลกและผู้อื่นออกจากกัน ก็ทำให้ตกเป็นเหยื่อของความโลภ คือพยายามตักตวงให้ตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่สนใจคนอื่นหรือผลกระทบกับโลก
ในอีกด้านหนึ่งวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังตั้งอยู่บนความคิดแบบทวินิยม แบ่งเราแบ่งเขา เห็นคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเป็นศัตรู และมองโลกแบบเป็นขาว-ดำชัดเจน โดยเฉพาะคนที่เคร่งศาสนาหรือติดยึดกับอุดมการณ์ มักจะตกอยู่ในกับดักแห่งความคิดดังกล่าว คือขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน ใครที่ไม่ดีเหมือนตัวหรือคิดเหมือนตัว ก็ประณามว่าเป็นคนชั่ว และเมื่อเป็นคนชั่วเสียแล้ว ย่อมเป็นการชอบธรรมที่จะกำจัดเขาด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้
ประธานาธิบดีบุชเคยประกาศว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ก็อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ในเมืองไทย ก็มีคนพูดว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายพันธมิตร ก็เป็นพวกทักษิณ” หรือ “ใครไม่สนับสนุนทักษิณ/พลังประชาชน ก็เป็นพวกพันธมิตร”
พุทธศาสนานั้นมองโลกอย่างเป็นอทวิภาวะตามหลักอิทัปปัจจยตา โดยเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันเป็นสหสัมพันธ์ ไม่มีอะไรแยกขาดจากกันเป็นขั้วหรือเป็นคู่ ๆ ได้ ดังมีพุทธพจน์ว่า “แสงสว่างต้องอาศัยความมืดจึงปรากฏ ความงามต้องอาศัยความไม่งามจึงปรากฏ” นอกจากจะอิงอาศัยกันแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนตรงข้ามกันยังปรากฏอยู่ด้วยกัน พุทธพจน์ตอนหนึ่งมีความว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต”
มองในแง่นี้ อทวินิยมทำให้เราตระหนักว่าโลกและชีวิตไม่ได้ขีดเส้นความดีความชั่วได้ง่ายอย่างนั้น ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด คนเรามีทั้งดีและชั่วอยู่ด้วยกัน โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย ซึ่งเคยถูกจองจำในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟังว่า
“ มันจะง่ายดายสักเพียงใด ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่งและคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย เราก็แค่แยกคนพวกนั้นออกจากพวกเราแล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?”
ความตระหนักว่าในจิตใจของเรานั้นก็มีความชั่วร้ายแฝงฝังอยู่ ก็ทำให้เราต้องระมัดระวังที่จะใช้ความรุนแรงกระทำกับผู้อื่น เพราะความรุนแรงนั้นเองจะหล่อเลี้ยงบ่มเพาะความชั่วร้ายในใจเราให้เติบใหญ่ ขึ้น จนแสดงตัวออกมาเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย หรือแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายในที่สุด ตำรวจที่ใช้วิธีการอันเลวร้ายกับโจร ในที่สุดกลับมีพฤติกรรมไม่ต่างจากโจร พูดอย่างอทวิภาวะก็คือ ในตำรวจนั้นมีความเป็นโจรที่รอการฟูมฟักแฝงอยู่ด้วย ในเรื่องนี้ ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า
“ฉันคือเด็กในอูกันดา มีแต่หนังหุ้มกระดูก
ขาฉันเล็กบางราวลำไผ่
และฉันคือพ่อค้าอาวุธ
ขายเครื่องประหัตประหารแก่อูกันดา
ฉันคือเด็กหญิงสิบสองขวบ
ลี้ภัยในเรือน้อย
โถมร่างลงกลางสมุทร
หลังถูกโจรสลัดข่มขืน
และฉันคือโจรสลัด
หัวใจฉันยังขาดความสามารถ
ในการเห็นและรัก
ฉันคือสมาชิกกรมการเมือง
ผู้กุมอำนาจล้นฟ้า
และฉันคีอชายผู้ต้องจ่าย
“หนี้เลือด”แก่ประชาชน
ผู้ค่อย ๆ ตายไปในค่ายแรงงาน”
ทัศนะการมองแบบอทวินิยมดังกล่าวเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก เพราะช่วยให้บุคคลหลุดพ้นจากความติดยึดในสมมติบัญญัติ ซึ่งพัวพันกับการมองโลกเป็นคู่ ๆ สามารถอยู่เหนือดีและชั่ว สุขและทุกข์ ตลอดจนโลกธรรมทั้งปวง ช่วยให้ถอนจากความสำคัญมั่นหมายในตัวตน(ว่ามีอยู่อย่างเป็นอิสระเอกเทศและ ยั่งยืนถาวร) ดังนั้นจึงนำไปสู่อิสรภาพทางจิตใจอย่างสิ้นเชิง แต่อทวินิยมจะมีความสำคัญแต่เฉพาะการพัฒนาในทางจิตวิญญาณอย่างเดียวก็หาไม่ หากยังมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมในทางโลกอีกด้วย
พุทธศาสนายังช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ได้ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาจิต เช่น สติ สมาธิ เมตตา กรุณา รวมทั้งปัญญา คุณภาพจิตดังกล่าวเป็นภูมิต้านทานวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความ เกลียดชังได้ กล่าวคือ มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย เพราะเข้าถึงความสุขภายในอันประณีต ไม่หลงเป็นทาสวัตถุหรือมัวเมาในบริโภคนิยม
ปัญญายังช่วยรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง เพราะทำให้แลเห็นความจริงอย่างรอบด้านโดยปราศจากอคติ นอกจากนั้นเมตตากรุณาก็สำคัญมาก ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น “ศัตรู” หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม
พุทธศาสนากับประชาธิปไตยต้องเกื้อกูลกัน
ประชาธิปไตยมุ่งให้เกิด เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หลักการทั้งสามประการจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยคุณภาพจิตเป็นตัวรองรับ กล่าวคือ เสรีภาพภายนอกต้องอิงเสรีภาพภายใน โดยมีปัญญาเป็นตัวเชื่อม
ปาฐกถานำในการประชุมประจำปีของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย
ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตีพิมพ์ที่ นิตยสารวิภาษา
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวัฒนธรรม
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๖ ลำดับที่ ๒๒
๑พ.ย. - ๑๕ ธ.ค. ๕๒
ระบอบการปกครองทุกอย่างจะทำงานได้ด้วยดีย่อมต้องอาศัยระบบศีลธรรมทั้งของผู้ปกครองและประชาชนเป็นตัวรองรับ ระบอบประชาธิปไตยก็เช่นกัน ในระบอบนี้ศีลธรรมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือศีลธรรมของประชาชน เหตุผลก็เพราะผู้นำนั้นมาจากประชาชน ถ้าประชาชนมีศีลธรรมก็ย่อมได้ผู้นำที่มีศีลธรรมด้วย ใช่แต่เท่านั้นระบอบนี้ยังถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ ในความหมายว่าประชาชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับประเทศ ดังนั้นคุณภาพของประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับสัมฤทธิผลของประชาธิปไตย
พุทธศาสนามีระบบศีลธรรมที่สามารถส่งเสริมคุณภาพของประชาชนให้เกื้อกูลต่อประชาธิปไตยได้ การที่ประชาธิปไตยสถาปนาในสังคมที่มีพุทธศาสนาหยั่งรากลึกมาช้านาน ย่อมน่าจะเจริญก้าวหน้าด้วยดี แต่ในกรณีของประเทศไทยความจริงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุปัจจัยนั้นย่อมมีอยู่มากมาย แต่ก็เป็นไปได้ว่าระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาที่เป็นอยู่ อาจไม่เกื้อกูลต่อระบอบประชาธิปไตยมากนัก
สองมิติที่ขาดหายไป
ในความเข้าใจของคนทั่วไป พุทธศาสนาเป็นคำสอนและระบบปฏิบัติทางศีลธรรมเท่านั้น นั่นคือสอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทัศนะดังกล่าวมีปัญหาในตัวเองตรงที่
๑) ละเลยมิติด้านโลกุตตรธรรมของพุทธศาสนา ซึ่งมีจุดหมายสูงสุดที่การเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งจนอยู่เหนือดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ นั่นคือเข้าถึงนิพพาน
๒) ละเลยมิติทางสังคมของพุทธศาสนา ในความหมายที่ว่า
-พุทธศาสนาไม่ได้มีแต่หลักธรรมที่มุ่งพัฒนาบุคคลเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดีงามด้วย ทั้งส่วนที่เป็นธรรมและวินัย
-นอกจากหลักธรรมว่าข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคลแล้ว ยังมีหลักธรรมว่าด้วยหน้าที่ต่อบุคคลต่อส่วนรวมหรือสังคมด้วย
หากมิติทางโลกุตตรธรรมทำให้มนุษย์เข้าถึงศักยภาพส่วนที่ลึกที่สุด มิติทางสังคมก็ช่วย ขยายสำนึกและสัมพันธภาพของมนุษย์ออกไปอย่างกว้างขวาง จนหลุดพ้นจากตนเองหรือแวดวงเล็ก ๆ ที่แวดล้อมตน เกิดสำนึกความรับผิดชอบและผูกพันต่อสังคมวงกว้าง
การที่ศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่สอนในปัจจุบันเน้นคุณธรรมส่วนบุคคลหรือการทำดีระหว่างบุคคลต่อบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับชุมชนระดับหมู่บ้าน แต่ในสังคมประชาธิปไตย คุณธรรมระดับนี้ย่อมไม่พอเพียง เพราะทุกคนยังมีหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อส่วนรวมซึ่งเป็นสังคมที่กว้างใหญ่ระดับรัฐชาติ
ในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ระดับบุคคลหรือระหว่างบุคคล แต่ยังมีความสัมพันธ์ในเชิงสังคม ซึ่งไม่เจาะจงหรือขึ้นอยู่กับตัวบุคคล (impersonal) เช่นความสัมพันธ์ที่ผ่านองค์กร สถาบัน ระบบ หรือการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยความเชื่อ ค่านิยมและอุดมการณ์เดียวกัน โดยไม่จำต้องรู้จักมักคุ้นกัน
ความปกติสุขในสังคมและความผาสุกส่วนบุคคลในปัจจุบัน จึงมิได้ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลมีธรรมะต่อกันและกันเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อสังคมอย่างถูกต้อง เช่น คำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคม เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม รักษาสมบัติของสาธารณะ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ปกป้องสิทธิเสรีภาพที่ยึดถือร่วมกัน เป็นต้น
ปัญหาดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาของพุทธศาสนามากเท่ากับเป็นปัญหาของการสอนศีลธรรมในปัจจุบัน เพราะระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาในความเป็นจริงแล้ว นอกจากพูดถึงคุณธรรมส่วนบุคคล หรือข้อประพฤติปฏิบัติระหว่างบุคคล เช่น ศีล ๕ ทิศ ๖ หรือพรหมวิหาร ๔ ยังครอบคลุมไปถึงคุณธรรมต่อส่วนรวม มีธรรมหลายข้อที่ว่าด้วยข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมโดยตรง โดยไม่เพียงแต่จะพูดถึงข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคล(เช่น สาราณียธรรม ๖ หรือหลักการอยู่ร่วมกัน) เท่านั้น หากรวมถึงข้อปฏิบัติต่อหลักการหรือสมบัติของส่วนรวม (เช่น อปริหานิยธรรม ๗ หรือธรรมอันเป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวของหมู่ชน)
อปริหานิยธรรมเป็นคุณธรรมที่ไม่เน้นแสดงต่อตัวบุคคล แต่เป็นข้อปฏิบัติต่อส่วนรวมที่เป็นนามธรรม จะว่าไปแล้ว นี้เป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของชาวพุทธเลยทีเดียว พระพุทธองค์ถึงกับกำหนดหน้าที่ของชาวพุทธไว้ว่า นอกจากจะมีหน้าที่ต่อตนเอง คือศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ตลอดจนมีหน้าที่ต่อผู้อื่น ได้แก่การแนะนำผู้อื่นให้รู้ธรรมอย่างถูกต้องแล้ว ยังจะต้องมีหน้าที่ต่อธรรม คือสามารถรักษาธรรมหรือหลักการของพุทธศาสนาไว้ได้ หน้าที่ประการสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ต่อส่วนรวม เพราะเป็นประโยชน์ต่อหมู่ชนอย่างไม่เลือกหน้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต
สาเหตุที่ศีลธรรมหรือข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมถูกมองข้ามหรือเข้าใจไม่ครบถ้วน นอกจากเป็นเพราะไปเน้นที่ศีลธรรมส่วนบุคคลมากเกินไปแล้ว ยังเป็นเพราะการตีความหลักธรรมที่คลาดเคลื่อน เช่น อุเบกขา มีความเข้าใจว่าหมายถึงการวางใจเป็นกลางเท่านั้น แต่ที่จริงอุเบกขามิได้หมายความแค่วางใจเป็นกลางเฉย ๆ หากแต่เป็นการวางใจเป็นกลางที่มีจุดหมายเพื่อไม่ให้มีการละเมิดธรรมหรือเสียหลักการ ทั้งนี้เพราะถ้าปราศจากอุเบกขาแล้ว ความเมตตากรุณาที่มีต่อตัวบุคคล อาจทำให้เลยเถิดจนเป็นผลเสียต่อธรรมได้ เช่น ช่วยเพื่อนโดยเอาเงินของส่วนรวมไปให้เขา พุทธศาสนาเน้นอุเบกขาในกรณีดังกล่าว เพื่อรักษาธรรมหรือหลักการของส่วนรวมเอาไว้ เป็นการป้องกันส่วนรวมมิให้เสียหาย เห็นได้ชัดว่าอุเบกขานั้นเป็นธรรมที่ช่วยให้บุคคลตระหนักถึงหน้าที่ที่มีต่อธรรมและหลักการของส่วนรวม มิใช่คำนึงแต่หน้าที่หรือคุณธรรมต่อตัวบุคคลเท่านั้น
การไม่สนใจทำหน้าที่ต่อส่วนรวมนี้เอง ที่ทำให้ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ว่าได้เฉยเมยหรือไม่นำพาต่อปัญหาบ้านเมือง มุ่งแต่รักษาศีล ๕ หรือสนใจแต่ทำทาน แต่ปล่อยให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น อาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง รวมทั้งไม่อินังขังขอบต่อปัญหาที่คุกคามระบอบประชาธิปไตย จะพูดไปแล้วอย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลย แม้แต่ปัญหาที่เกิดกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เช่น เวลาที่พระธรรมวินัยถูกจ้วงจาบหรือบิดเบือน ชาวพุทธจำนวนมากก็นิ่งเฉย เห็นได้ชัดเมื่อเกิดกรณีธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่องบิดเบือนพระธรรมวินัย ไม่แต่คฤหัสถ์เท่านั้น กระทั่งพระกรรมฐานจำนวนไม่น้อยก็ไม่เอาธุระ กลับเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมไป
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ระบบศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่เป็นอยู่ไม่ค่อยเอื้อต่อประชาธิปไตย นั่นก็คือความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อหรือถึงกับมีอคติต่อหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ได้แก่ เสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ที่ผ่านมาชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นอันมากมีท่าทีปฏิเสธคำเหล่านี้ เพราะเห็นว่า เป็นคำที่ส่งเสริมกิเลสหรือการเอาตัวเองเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับคำว่าสิทธิ ที่ชาวพุทธมักมองว่าเป็นแนวคิดที่อิงอยู่กับการยึดถือประโยชน์ส่วนตน คิดแต่จะเรียกร้องสิ่งที่ตนพึงมีพึงได้จากผู้อื่น
เป็นความจริงที่ว่าเสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ตามนิยามในระบอบประชาธิปไตยมิได้มีอยู่ในระบบศีลธรรมของพุทธศาสนามาก่อน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขัดกัน หากมีการนิยามเสรีภาพและเสมอภาคในแง่ที่เปิดโอกาสให้มีการฝึกฝนพัฒนาตนและช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น เช่นเดียวกับอิสรภาพที่นิยามให้คลุมไปถึงมิติด้านจิตใจด้วย ในทำนองเดียวกันสิทธิก็มิได้หมายความถึงการเรียกร้องเอาเข้าตัวอย่างเดียว แต่รวมถึงการมีหน้าที่ที่จะต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งปกป้องสิทธิของผู้อื่นเวลาถูกล่วงละเมิดด้วย มองในแง่นี้สิทธิจึงเป็นแนวคิดที่แยกไม่ออกจากคุณธรรมหรือศีลธรรมของชาวพุทธ ต่างทำหน้าที่ประสานกัน กล่าวคือขณะที่ศีล ๕ หรือเมตตากรุณาเป็นข้อพึงปฏิบัติระหว่างบุคคลต่อบุคคล สิทธิก็เป็นข้อพึงปฏิบัติของบุคคลต่อสังคม
โลกุตตรธรรมกับประชาธิปไตย
มิติทางสังคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบศีลธรรมของพุทธศาสนา ที่ทำให้สำนึก และความรับผิดชอบตลอดจนสัมพันธภาพของผู้คนขยายออกไปสู่สังคม ไม่จำกัดอยู่แค่ครอบครัวหรือชุมชนเท่านั้น แต่มิติทางสังคมดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นลอย ๆ หากอิงอยู่กับความจริงของธรรมชาติที่เรียกว่าสัจธรรม
สัจธรรมในพุทธศาสนานั้นโดยเฉพาะในฝ่ายโลกุตตรธรรม ชี้ให้เราตระหนักว่าสัมพันธภาพของมนุษย์นั้นยังขยายกว้างออกไปยิ่งกว่านั้นอีก กล่าวคือไม่เพียงเชื่อมโยงกับผู้คนในสังคมเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงกับสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลด้วยซ้ำ หลักธรรมที่ว่านั้นก็คืออิทัปปัจจยตา นั่นคือความจริงที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยอิสระ หากเกิดขึ้นโดยมีสิ่งอื่นเป็นเหตุปัจจัย ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวถึงสหสัมพันธ์ของสรรพสิ่งได้อย่างงดงามว่า
“เมื่อคุณมองเก้าอี้ตัวนี้ คุณเห็นป่าไม้อันเป็นที่มาของไม้ที่ใช้ทำเก้าอี้ตัวนี้ไหม คุณเห็นดวงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องป่าไม้ และหมู่เมฆซึ่งโปรยฝนบำรุงเลี้ยงป่าไหม คุณเห็นคนตัดไม้และครอบครัวของเขาไหม และข้าวที่เลี้ยงชีวิตของพวกเขาล่ะ คุณเห็นทั้งหมดนี้ในเก้าอี้ตัวนี้ไหม เก้าอี้ประกอบด้วยสรรพสิ่งที่มิใช่เก้าอี้ คุณเห็นดวงอาทิตย์ในหัวใจของคุณไหม เห็นบรรยากาศในปอดของคุณไหม สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่ในสภาพที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และต่างเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน”
การที่เรายังเป็นเราอยู่ได้ ก็เพราะสรรพสิ่งในโลกเป็นปัจจัยให้เกิดมีขึ้น ไม่ใช่แค่พ่อแม่และชุมชน สังคมเท่านั้น แต่รวมถึงธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเราเพราะมีโลก ไม่มีโลกก็ไม่มีเรา การเห็นความจริงเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดเมตตากรุณาขึ้นในใจ มีความรักอย่างไม่มีประมาณต่อสรรพสิ่งในโลก เพราะเส้นแบ่งระหว่างฉันกับโลกไม่มีอีกต่อไป ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดปัญญาเห็นความจริงเรื่องอนัตตาว่าสรรพสิ่งนั้นไม่ มีตัวตนที่เที่ยงแท้ เป็นอิสระเอกเทศเลย จึงไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่าง
จึงเห็นได้ว่าอนัตตากับสหสัมพันธ์ตามหลักอิทัปปัจจยตานั้นเป็น ๒ ด้านของความจริงอย่างเดียวกัน ในด้านหนึ่ง ทุกอย่างไม่มีตัวตน แต่ในอีกด้านหนึ่งทุกอย่างต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กันหมด ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้รู้บางท่านบอกว่า เมื่อมองเข้ามาข้างใน ตัวฉันหามีไม่ แต่เมื่อมองออกไปฉันมีอยู่ในทุกสิ่ง
การที่พุทธศาสนาถูกลดทอนใน ๒ มิติ ทั้งด้านโลกุตตรธรรมและสังคม ทำให้ความจริงอันได้แก่ธรรมชาติส่วนลึกที่สุดและส่วนที่กว้างที่สุดของมนุษย์ถูกมองข้ามไป ผลก็คือ
๑) มนุษย์จึงกลายสภาพเป็นปัจเจกหรือบุคคลที่มีสังกัดคับแคบ จึงคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนหรือพวกพ้อง ไม่สามารถคิดไปไกลถึงประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนร่วมโลกได้ การทำความดีจึงนอกจากมีขอบเขตแค่ทำความดีต่อคนใกล้ตัว หรือทำความดีในระดับบุคคลต่อบุคคล แต่ละเลยการทำความดีต่อสังคมหรือต่อโลก หรือหากจะทำดีต่อสังคมก็หวังประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เช่น “หวังบุญ”
๒) มีชีวิตขึ้นลงไปตามโลกธรรมและตามอำนาจของกรรมดีกรรมชั่วเท่านั้น ไม่สามารถอยู่เหนือโลกธรรมหรือเป็นอิสระจากแรงกรรมทั้งดีและชั่วได้ แม้ทำดีก็ยังติดดีอยู่ เมื่อได้รับสุขก็ยังติดในสุขโดยมองไม่เห็นความไม่เที่ยงของมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
ทัศนะดังกล่าวไปได้ดีกับแนวคิดแบบโลกียวิสัย ( secularism) และแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “โลกนี้” และประโยชน์ที่จับต้องได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับแนวคิดแบบทุนนิยมและบริโภคนิยมก็มีปัญหา เพราะนอกจากไม่มีพลังที่จะต้านทานแนวคิดดังกล่าวได้ แถมยังถูกแนวคิดดังกล่าวครอบงำได้ง่าย พุทธศาสนาจึงกลายเป็นศาสนาที่เน้นประโยชน์ทางวัตถุ หรือตอบสนองความโลภ โดยไม่เพียงให้ความหวังหรือคำปลอบใจเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้ลดละความเพียร แต่หวังผลสำเร็จด้วยวิธีลัดหรือคอยโชคที่เกิดจาก “ผลบุญ”
อย่างไรก็ตามการฟื้นพลังให้แก่พุทธศาสนา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และมีความจำเป็น เพราะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตนานาชนิด ซึ่งแก้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง หรือวิธีคิด-โลกทัศน์แบบเดิม ๆ เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดรากเหง้าของวิกฤตทั้งหลายก็คือวิกฤตทางด้านจิตวิญญาณ (นอกจากเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง และโลกทัศน์เดิมจะแก้วิกฤตดังกล่าวไม่ได้แล้ว มันยังซ้ำเติมหรือมีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตดังกล่าวด้วย)
วิกฤตด้านจิตวิญญาณนั้นสะท้อนให้เห็นจากวัฒนธรรม ๒ กระแสใหญ่ซึ่งก่อปัญหาไปทั่วโลกได้แก่
๑)วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
๒)วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
คือวัฒนธรรมที่กระตุ้นความละโมบของผู้คนทำให้เกิดความต้องการอย่างไม่มีขีดจำกัด ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ พื้นฐานของวัฒนธรรมนี้คือแนวคิดว่า greed is good ในด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ การคอรัปชั่น การตักตวงประโยชน์จากทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยังจนถึงจุดวิกฤต ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ทำให้ความยากจนแพร่กระจาย ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สินในคนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์ หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์ ใช่แต่เท่านั้นลึก ๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม ถึงกับทำสิ่งที่เป็นโทษต่อตัวเอง เช่น ขายตัวเพื่อแลกกับโทรศัพท์มือถือ หรือฆ่าตัวตายเมื่อไม่ได้วัตถุที่ต้องการ
วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
ทุกวันนี้ความเกลียดชังได้แพร่สะพัดจนกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คน ปรากฏอยู่ในสื่อและการแสดงออกของผู้คนอย่างกว้างขวาง มีการปลุกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อคนที่แตกต่างจากตนไม่ว่าในทางชาติพันธุ์ ผิวสี ภาษา ศาสนา รวมไปถึงเศรษฐฐานะ ความเชื่อ และ สถาบันที่สังกัด ควบคู่กันกันสำนึกดังกล่าว ก็คือการเหยียดคนที่มีอัตลักษณ์ต่างจากตนว่าเป็นผู้ที่ด้อยกว่า ความรังเกียจเดียดฉันท์ดังกล่าวนำไปสู่ความรุนแรงในทุกระดับ สงครามและความรุนแรงจึงเกิดขึ้นไปทั่ว
ในเมืองไทยการตั้งคำถามกับคนที่คิดต่างจากตนว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” สะท้อนถึงความคับแคบทางความคิด และนำไปสู่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ยิ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ก็ยิ่งเห็นอำนาจของความเกลียดชังที่แพร่ระบาดไปทั่ว
ประชาธิปไตยถูกบั่นทอน
ทั้งวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ได้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกได้ก็เพราะอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ในด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจก็ทำให้ทุนนิยมและบริโภคนิยไหลบ่าไปทั่ว ทุกหัวระแหงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กระตุ้นให้ผู้คนเกิดความโลภและแข่งขันกันตักตวงเงินทองและทรัพยากร ในอีกด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางโทรคมนาคมก็ทำให้การสร้างความอคติและเกลียดชัง ต่อกันแพร่หลายไปรวดเร็วขึ้น ไม่เคยมียุคใดที่ความเท็จหรือความจริงครึ่งเดียวจะกระจายได้รวดเร็วเท่ายุค นี้ ขณะเดียวกันการรุกรานของอำนาจทุนที่ตักตวงประโยชน์จากชุมชนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความยากจน จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่น จนเกิดเป็นความรุนแรง เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อพลังภายนอก และเกิดความแตกแยกในชุมชนเดียวกัน
วัฒนธรรมทั้ง ๒ กระแสได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง กล่าวคืออำนาจทุนเข้ามามีอิทธิพลในทางการเมือง เช่น ติดสินบน ซื้อเสียง ซื้อนักการเมือง การสร้างแรงกดดันผ่านสื่อและกลุ่มลอบบี้ยิสต์ รวมทั้งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อทำธุรกิจการเมือง นอกจากนั้นยังทำให้ผู้คนหลงใหลกับบริโภคนิยม หมกมุ่นแต่ตัวเองจนไม่สนใจมีส่วนร่วมทางการเมือง ขณะเดียวกันความเกลียดชังด้วยเหตุผลทางด้านอุดมการณ์ ยังทำให้การแตกแยกของคนในชาติ จนนำไปสู่การใช้เสียงส่วนมากเพื่อปิดปาก/เบียดบังคนส่วนน้อย พร้อมกันนั้นการไม่ยอมรับความเห็นของกันและกันได้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง แทนที่จะใช้สันติวิธี
ทั้งหมดนี้ได้ซ้ำเติมประชาธิปไตยไทยซึ่งมีปัญหาต่าง ๆ รุมเร้ามากมาก อยู่แล้วมากมาย ทั้งปัญหาในเชิงหลักการและในเชิงกระบวนการ กล่าวคือ ในแง่หลักการ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานอันได้แก่ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มีการคุกคามเบียดบังสิทธิเสรีภาพมากขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางผ่านนโยบาย ประชานิยม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงขยายตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนั้นยังเกิดการแบ่งแยกเป็นขั้ว ๆ แตกเป็นกลุ่ม ๆ ตามเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อุดมการณ์
ปัญหาในเชิงกระบวนการ ได้แก่ การตัดสินใจแบบอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย คือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หาไม่ก็ตัดสินตามกระแสนิยม ขณะเดียวกันการรับรู้ข้อมูลก็เป็นไปอย่างไม่รอบด้าน คำนึงประโยชน์ระยะสั้น ถูกใจมากกว่าถูกต้อง ผู้คนไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลที่แตกต่าง ความคิดคับแคบ ถือพวกถือเหล่า ยังไม่นับปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง
ผลก็คือประชาธิปไตยไทยเกิดภาวะวิกฤต อันได้แก่ วิกฤตความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ เนื่องจากผู้ปกครองใช้อำนาจเกินขอบเขต ผูกขาดการใช้อำนาจ ไม่เปิดพื้นที่ให้แก่คนที่เห็นต่าง เป็นรัฐบาลของคนบางกลุ่ม อีกทั้งยังทุจริต มุ่งประโยชน์ส่วนตน
สิ่งที่ตามมาคือ ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง เกิดความแตกแยกทางการเมือง ในทุกระดับ และในหลายภาคส่วน (เช่นระหว่าง ชนชั้นนำ กับ ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง กับ คนชั้นล่าง คนเมือง กับ คนชนบท รวมทั้งระหว่างรัฐกับสังคม) คนส่วนน้อยไม่ยอมรับเสียงข้างมาก ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ไม่ฟังเสียงคนกลุ่มน้อย เกิดช่องว่างทางสังคมเศรษฐกิจ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น (เกิดปรากฏการณ์หนึ่งรัฐ สองสังคม) มีการเอาเปรียบคนส่วนน้อย โดยรัฐไม่สามารถและไม่สนใจแก้ปัญหาของคนเล็กคนน้อย กลายเป็นว่ายิ่งรัฐมีอำนาจครอบงำมากเท่าไร สังคมยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น นอกจากนั้นยังเกิดภาวะยอกแย้ง กล่าวคือขณะที่มีการเชื่อมโยงบูรณาการระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับมีการแตกสลายภายในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดนี้ทำให้มีการตั้งคำถามกับระบบการเลือกตั้ง จนไม่สามารถจะใช้การเลือกตั้งเป็นทางแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้
ประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้ด้วยดี นอกจากจะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการปฏิรูปสังคมแล้ว ยังต้องอาศัย “วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้” เพื่อมาทัดทานถ่วงดุลกับวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ด้วย
วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ กล่าวคือเป็นไปเพื่อการตื่นจากความหลงในวัตถุนิยม และจากความยึดติดถือมั่นในเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สีผิว และอุดมการณ์ อันนำไปสู่การเบียดเบียนทำร้ายกัน
พุทธศาสนาสามารถช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ได้ เพราะมุ่งที่การลดทอนตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งวัตถุนิยมและความเกลียดชังกัน พุทธศาสนาเน้นว่าความสุขนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเสมอไป นอกจากความสุขทางกายแล้ว เรายังต้องการความสุขทางจิตใจ และความสุขทางใจนี้เองที่เป็นความสุขที่ลึกซึ้งที่สุดที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึงให้ได้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์จึงมิได้อยู่ที่การครอบครองวัตถุให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การเข้าถึงความสุขทางจิตใจด้วยตนเอง และเอื้อให้ผู้อื่นเข้าถึงด้วยเช่นกัน
นอกจากโลกทัศน์ที่เห็นมนุษย์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งแล้ว พุทธศาสนายังเอื้อให้เกิดโลกทัศน์ที่มองเห็นมนุษย์อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชีวิต สังคม และธรรมชาติไม่อาจแยกจากกันได้ ความผาสุกของเราแต่ละคนผูกติดอยู่กับความผาสุกของผู้คนรอบข้าง สังคมรอบตัว และธรรมชาติแวดล้อม สำนึกดังกล่าวจะช่วยให้เราอ่อนโยนต่อธรรมชาติและรู้สึกถึงบุญคุณของสรรพ ชีวิตและทุกผู้คนในสังคมมากขึ้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง ไม่มองตนเองในกรอบแคบ ๆ โดยมองคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาเป็นคนอื่น หากมองเห็นมนุษย์ทุกคนและทุกชีวิตว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยู่ภายใต้สาย สัมพันธ์เดียวกัน มีความรักและความเห็นอกเห็นใจกันนมากขึ้น
พุทธศาสนายังช่วยให้เห็นถึงข้อจำกัดของทวินิยม และหันมามองโลกแบบอทวินิยมมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมองโลกแบบทวินิยมนำไปสู่การเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน รวมทั้งก่อความรุนแรงต่อกัน ในด้านหนึ่งการแยกฉันกับโลกและผู้อื่นออกจากกัน ก็ทำให้ตกเป็นเหยื่อของความโลภ คือพยายามตักตวงให้ตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่สนใจคนอื่นหรือผลกระทบกับโลก
ในอีกด้านหนึ่งวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังตั้งอยู่บนความคิดแบบทวินิยม แบ่งเราแบ่งเขา เห็นคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเป็นศัตรู และมองโลกแบบเป็นขาว-ดำชัดเจน โดยเฉพาะคนที่เคร่งศาสนาหรือติดยึดกับอุดมการณ์ มักจะตกอยู่ในกับดักแห่งความคิดดังกล่าว คือขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน ใครที่ไม่ดีเหมือนตัวหรือคิดเหมือนตัว ก็ประณามว่าเป็นคนชั่ว และเมื่อเป็นคนชั่วเสียแล้ว ย่อมเป็นการชอบธรรมที่จะกำจัดเขาด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้
ประธานาธิบดีบุชเคยประกาศว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ก็อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ในเมืองไทย ก็มีคนพูดว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายพันธมิตร ก็เป็นพวกทักษิณ” หรือ “ใครไม่สนับสนุนทักษิณ/พลังประชาชน ก็เป็นพวกพันธมิตร”
พุทธศาสนานั้นมองโลกอย่างเป็นอทวิภาวะตามหลักอิทัปปัจจยตา โดยเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันเป็นสหสัมพันธ์ ไม่มีอะไรแยกขาดจากกันเป็นขั้วหรือเป็นคู่ ๆ ได้ ดังมีพุทธพจน์ว่า “แสงสว่างต้องอาศัยความมืดจึงปรากฏ ความงามต้องอาศัยความไม่งามจึงปรากฏ” นอกจากจะอิงอาศัยกันแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนตรงข้ามกันยังปรากฏอยู่ด้วยกัน พุทธพจน์ตอนหนึ่งมีความว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต”
มองในแง่นี้ อทวินิยมทำให้เราตระหนักว่าโลกและชีวิตไม่ได้ขีดเส้นความดีความชั่วได้ง่ายอย่างนั้น ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด คนเรามีทั้งดีและชั่วอยู่ด้วยกัน โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย ซึ่งเคยถูกจองจำในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟังว่า
“ มันจะง่ายดายสักเพียงใด ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่งและคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย เราก็แค่แยกคนพวกนั้นออกจากพวกเราแล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?”
ความตระหนักว่าในจิตใจของเรานั้นก็มีความชั่วร้ายแฝงฝังอยู่ ก็ทำให้เราต้องระมัดระวังที่จะใช้ความรุนแรงกระทำกับผู้อื่น เพราะความรุนแรงนั้นเองจะหล่อเลี้ยงบ่มเพาะความชั่วร้ายในใจเราให้เติบใหญ่ ขึ้น จนแสดงตัวออกมาเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย หรือแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายในที่สุด ตำรวจที่ใช้วิธีการอันเลวร้ายกับโจร ในที่สุดกลับมีพฤติกรรมไม่ต่างจากโจร พูดอย่างอทวิภาวะก็คือ ในตำรวจนั้นมีความเป็นโจรที่รอการฟูมฟักแฝงอยู่ด้วย ในเรื่องนี้ ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า
“ฉันคือเด็กในอูกันดา มีแต่หนังหุ้มกระดูก
ขาฉันเล็กบางราวลำไผ่
และฉันคือพ่อค้าอาวุธ
ขายเครื่องประหัตประหารแก่อูกันดา
ฉันคือเด็กหญิงสิบสองขวบ
ลี้ภัยในเรือน้อย
โถมร่างลงกลางสมุทร
หลังถูกโจรสลัดข่มขืน
และฉันคือโจรสลัด
หัวใจฉันยังขาดความสามารถ
ในการเห็นและรัก
ฉันคือสมาชิกกรมการเมือง
ผู้กุมอำนาจล้นฟ้า
และฉันคีอชายผู้ต้องจ่าย
“หนี้เลือด”แก่ประชาชน
ผู้ค่อย ๆ ตายไปในค่ายแรงงาน”
ทัศนะการมองแบบอทวินิยมดังกล่าวเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก เพราะช่วยให้บุคคลหลุดพ้นจากความติดยึดในสมมติบัญญัติ ซึ่งพัวพันกับการมองโลกเป็นคู่ ๆ สามารถอยู่เหนือดีและชั่ว สุขและทุกข์ ตลอดจนโลกธรรมทั้งปวง ช่วยให้ถอนจากความสำคัญมั่นหมายในตัวตน(ว่ามีอยู่อย่างเป็นอิสระเอกเทศและ ยั่งยืนถาวร) ดังนั้นจึงนำไปสู่อิสรภาพทางจิตใจอย่างสิ้นเชิง แต่อทวินิยมจะมีความสำคัญแต่เฉพาะการพัฒนาในทางจิตวิญญาณอย่างเดียวก็หาไม่ หากยังมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมในทางโลกอีกด้วย
พุทธศาสนายังช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ได้ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาจิต เช่น สติ สมาธิ เมตตา กรุณา รวมทั้งปัญญา คุณภาพจิตดังกล่าวเป็นภูมิต้านทานวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความ เกลียดชังได้ กล่าวคือ มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย เพราะเข้าถึงความสุขภายในอันประณีต ไม่หลงเป็นทาสวัตถุหรือมัวเมาในบริโภคนิยม
ปัญญายังช่วยรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง เพราะทำให้แลเห็นความจริงอย่างรอบด้านโดยปราศจากอคติ นอกจากนั้นเมตตากรุณาก็สำคัญมาก ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น “ศัตรู” หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม
พุทธศาสนากับประชาธิปไตยต้องเกื้อกูลกัน
ประชาธิปไตยมุ่งให้เกิด เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หลักการทั้งสามประการจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยคุณภาพจิตเป็นตัวรองรับ กล่าวคือ เสรีภาพภายนอกต้องอิงเสรีภาพภายใน โดยมีปัญญาเป็นตัวเชื่อม
วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553
Bad habits can age you by 12 years, study suggests
By LINDSEY TANNER, AP Medical Writer - Mon Apr 26, 6:26 PM PDT
CHICAGO - Four common bad habits combined — smoking, drinking too much, inactivity and poor diet — can age you by 12 years, sobering new research suggests.
The findings are from a study that tracked nearly 5,000 British adults for 20 years, and they highlight yet another reason to adopt a healthier lifestyle.
Overall, 314 people studied had all four unhealthy behaviors. Among them, 91 died during the study, or 29 percent. Among the 387 healthiest people with none of the four habits, only 32 died, or about 8 percent.
The risky behaviors were: smoking tobacco; downing more than three alcoholic drinks per day for men and more than two daily for women; getting less than two hours of physical activity per week; and eating fruits and vegetables fewer than three times daily.
These habits combined substantially increased the risk of death and made people who engaged in them seem 12 years older than people in the healthiest group, said lead researcher Elisabeth Kvaavik of the University of Oslo.
The study appears in Monday's Archives of Internal Medicine.
The healthiest group included never-smokers and those who had quit; teetotalers, women who had fewer than two drinks daily and men who had fewer than three; those who got at least two hours of physical activity weekly; and those who ate fruits and vegetables at least three times daily.
"You don't need to be extreme" to be in the healthy category, Kvaavik said. "These behaviors add up, so together it's quite good. It should be possible for most people to manage to do it."
For example, one carrot, one apple and a glass of orange juice would suffice for the fruit and vegetable cutoffs in the study, Kvaavik said, noting that the amounts are pretty modest and less strict than many guidelines.
The U.S. government generally recommends at least 4 cups of fruits or vegetables daily for adults, depending on age and activity level; and about 2 1/2 hours of exercise weekly.
Study participants were 4,886 British adults aged 18 and older, or 44 years old on average. They were randomly selected from participants in a separate nationwide British health survey. Study subjects were asked about various lifestyle habits only once, a potential limitation, but Kvaavik said those habits tend to be fairly stable in adulthood.
Death certificates were checked for the next 20 years. The most common causes of death included heart disease and cancer, both related to unhealthy lifestyles.
Kvaavik said her results are applicable to other westernized nations including the United States.
June Stevens, a University of North Carolina public health researcher, said the results are in line with previous studies that examined the combined effects of health-related habits on longevity.
The findings don't mean that everyone who maintains a healthy lifestyle will live longer than those who don't, but it will increase the odds, Stevens said.
Source:http://health.yahoo.com/news/ap/us_med_bad_habits_survival.html
CHICAGO - Four common bad habits combined — smoking, drinking too much, inactivity and poor diet — can age you by 12 years, sobering new research suggests.
The findings are from a study that tracked nearly 5,000 British adults for 20 years, and they highlight yet another reason to adopt a healthier lifestyle.
Overall, 314 people studied had all four unhealthy behaviors. Among them, 91 died during the study, or 29 percent. Among the 387 healthiest people with none of the four habits, only 32 died, or about 8 percent.
The risky behaviors were: smoking tobacco; downing more than three alcoholic drinks per day for men and more than two daily for women; getting less than two hours of physical activity per week; and eating fruits and vegetables fewer than three times daily.
These habits combined substantially increased the risk of death and made people who engaged in them seem 12 years older than people in the healthiest group, said lead researcher Elisabeth Kvaavik of the University of Oslo.
The study appears in Monday's Archives of Internal Medicine.
The healthiest group included never-smokers and those who had quit; teetotalers, women who had fewer than two drinks daily and men who had fewer than three; those who got at least two hours of physical activity weekly; and those who ate fruits and vegetables at least three times daily.
"You don't need to be extreme" to be in the healthy category, Kvaavik said. "These behaviors add up, so together it's quite good. It should be possible for most people to manage to do it."
For example, one carrot, one apple and a glass of orange juice would suffice for the fruit and vegetable cutoffs in the study, Kvaavik said, noting that the amounts are pretty modest and less strict than many guidelines.
The U.S. government generally recommends at least 4 cups of fruits or vegetables daily for adults, depending on age and activity level; and about 2 1/2 hours of exercise weekly.
Study participants were 4,886 British adults aged 18 and older, or 44 years old on average. They were randomly selected from participants in a separate nationwide British health survey. Study subjects were asked about various lifestyle habits only once, a potential limitation, but Kvaavik said those habits tend to be fairly stable in adulthood.
Death certificates were checked for the next 20 years. The most common causes of death included heart disease and cancer, both related to unhealthy lifestyles.
Kvaavik said her results are applicable to other westernized nations including the United States.
June Stevens, a University of North Carolina public health researcher, said the results are in line with previous studies that examined the combined effects of health-related habits on longevity.
The findings don't mean that everyone who maintains a healthy lifestyle will live longer than those who don't, but it will increase the odds, Stevens said.
Source:http://health.yahoo.com/news/ap/us_med_bad_habits_survival.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)