วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สวดมนต์บำบัดโรค.. ?

เชื่อหรือไม่ ว่าหากเราสวดมนต์(ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม) เพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ ??? เพราะการสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้

การสวดมนต์บำบัด คือ หลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือ การใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็น Vibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจาก สวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต

ดังนั้นมาดูพลังแห่งการสวดมนต์บำบัดกัน ว่าคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร ???

คลื่นแห่งการเยียวยา

การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา ซึ่งหากคลื่นเสียงที่มากระทบดังแบบไร้ระเบียบ คือประกอบด้วยเสียงที่มีความถี่ต่างๆกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการบำบัดกลไกดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียงบทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาที ก็จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย

เสียงสวดมนต์ด้วยสมาธิ เป็นยา : ให้ผลกับร่างกายเอนกอนันต์

รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายเพิ่มเติมดังนี้

“ สมองของเราเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด

บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (serotonin) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยึดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน
นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่ อาจารย์สมพรเสริมว่า

“ หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

สวดมนต์กระตุ้นอวัยวะ

อาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า
“ เวลาเราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์จึงเกิดพลังของการสั่น ” และเมื่อเกิดพลังของการสั่น

การสั่นนี้จะเข้าไปเยียวยาอาการป่วยได้อย่างไร ? อาจารย์เสถียรพงษ์อธิบายต่อว่า

“ เวลาเราสวดมนต์ เสียงสวดจะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น ”


นอกจากนี้ยังมีบทความที่อธิบายเกี่ยวกับการฝึกเปล่งเสียงเพื่อรักษาโรคจากเสียงต่างๆ เช่น

โอม กระตุ้น หน้าผาก , ฮัม กระตุ้น คอ , ยัม กระตุ้น หัวใจ , ราม กระตุ้น ลิ่นปี่ , วัม กระตุ้น สะดือ , ลัม กระตุ้น ก้นกบ เป็นต้น

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด

รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อคือ

1. การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ

2. ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด

เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศที่อาจารย์สมพร สรุปให้ฟังว่า

การสวดมนต์ช่วยบำบัดอาการป่วยและโรคร้าย ดังต่อไปนี้

1. หัวใจ 2. ความดันโลหิตสูง 3. เบาหวาน 4. มะเร็ง 5. อัลไซเมอร์ 6. ซึมเศร้า 7. ไมเกรน 8. ออทิสติก 9. ย้ำคิดย้ำทำ 10. โรคอ้วน 11. นอนไม่หลับ 12. พาร์กินสัน

สวดมนต์อย่างไร ? ให้หายจากโรค

สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สรุปออกมาได้ 3 แบบ

1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง

เป็นการเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการที่อาจารย์สมพรแนะนำคือ

- ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน

- หาสถานที่ที่สงบเงียบ

- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา

- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน

2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์

เป็นการเหนี่ยวนำโดยคลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา( healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้


3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น

ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์อธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้นจริงหรือไม่ อาจารย์สมพรอธิบายดังนี้

คลื่นสวดมนต์ เป็นคลื่นบวก เพราะเกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึง สิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ

บางทีพ่อกำลังป่วยหนักอยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก

“ การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไปผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป"

เลือกสวดมนต์อย่างไร ? ถึงจะดี

แล้วบทสวดที่เลือกควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า

“ น่าแปลกที่บทสวดในศาสนาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีจังหวะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจังหวะเพลง จะมีโทนเสียงแค่ไม้เอกไม้โทเท่านั้น สักสามสี่พยางค์ มาสวดซ้ำไปมาได้ทั้งนั้น พระพุทธศาสนา มีบทสวดมากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ ยกตัวอย่างเช่น อิติปิโส หรือนะโมตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย

“ ข้อที่น่าสังเกตคือ บทสวดโพชฌงค์ 7 จะมีความแตกต่างจากบทสวดอื่นๆคือ คลื่นเสียงของบทสวดจะมีแค่เสียงสระ มีแค่สองจังหวะ คลื่นเสียงจากบทสวดจึงทำให้เกิดคลื่นที่เยียวยาได้ดีที่สุด ”

อยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจเป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต

เริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำด้วยสมาธิ


จาก นิตยสารชีวจิต ฉบับแรกของเดือนมกราคม 2551
เรื่อง Vibrational Therapy : สวดมนต์บำบัด โดย: ชมนาด

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พร 4 ข้อของท่าน ว.วชิรเมธี

ใครที่ไม่ได้ไปนั่งฟังการบรรยายธรรมะโดยท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้
1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
" กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก "
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส " จิตประภัสสร " ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี
" แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข "

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ " ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ " อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน "
" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น " ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
" ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วย น้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วย เชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ " ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม "
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า " เกิดมาทำไม " " คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ
คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

"แบบอย่างแห่งความเป็นพุทธทาส"


โดย อุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง

เมื่อจะพูดรำลึกถึงเจ้าประคุณ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ มีสิ่งที่จะกล่าวถึงมากเหลือเกินอย่างที่จะเขียนเป็นหนังสือได้เป็นเล่มๆ แต่ตรงนี้จะขอกล่าวถึงสิ่งที่ประทับใจมาก แต่เพียงเรื่องเดียว คือเรื่องวิธีการสอนและอบรมธรรมะของท่านอาจารย์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แบบอย่างแห่งความเป็นพุทธทาสของท่าน

เราเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชน แต่เมื่อย้อนคิดดู เรารู้จักเรื่องของพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง นึกดูแล้วก็รู้แต่เพียงว่า ต้องรับศีล ฟังเทศน์ ทำบุญ ทำทานตามกำลัง แล้วก็สวดมนต์ ไหว้พระ คำสวดก็เป็นภาษาบาลี ที่ไม่เคยรู้ความหมายว่ากำลังสวดว่าอะไร หรือแปลว่าอะไร

คำว่า "ธรรมะ" ก็รู้เพียงแต่ว่า คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งกว้างเหลือเกิน อย่างที่ได้ยินมาว่ามีตั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วจะหยิบตรงไหนมาเป็นความหมายที่ชัดเจนของคำว่า "ธรรมะ" แต่ด้วยความเป็น "พุทธทาส" คือทาสผู้ซื่อสัตย์ และซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่านอาจารย์ ท่านจึงได้เสาะแสวงหาขุดค้นจากพระไตรปิฎกฉบับบาลี เพื่อประมวลและสรุปคำสอนของสมเด็จพระศาสดาออกมาให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ ว่า

ธรรมะ คือ ธรรมชาติ
ธรรมะ คือ กฎของธรรมชาติ เช่น กฎแห่งความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความตั้งอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง) ความมิใช่ตัวตน (อนัตตา) ที่เยกว่า กฎไตรลักษณ์ เป็นต้น
ธรรมะคือ หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติ
ธรรมะ คือ ผลที่เกิดขึ้นตามหน้าที่ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ

กล่าวสรุปโดยย่อ ธรรมะ ก็คือ หน้าที่

ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและเพื่อนมนุษย์อย่างเห็นแก่ผู้อื่น มิใช่เห็นแต่แก่ตนเอง ผู้นั้น ก็คือ ผู้มีธรรม

เมื่อฟังแล้ว นำมาพิจารณาก็รู้สึกเห็นจริง เมื่อได้นำมาลองประพฤติปฏิบัติตามก็เห็นผลเป็นสันทิฎฐิโก ว่า อ้อ การทำหน้าที่ให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นด้วย เป็นความสุข ความสบายใจอย่างนี้ ทำให้ชีวิตได้ปลอดจากปัญหาที่ไม่จำเป็นหรือไม่ควรที่จะเกิดขึ้นนี้ได้ บังเกิดเป็นความชัดเจนและกระจ่างแจ้งในความหมายของคำว่าธรรมะ กระทั่งกลายเป็นความรู้ความเข้าใจตามมาว่า ธรรมะทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็คือข้อธรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ได้เข้าใจความหมายของคำว่าธรรมะชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ทั้งยังมองเห็นวิธีที่ควรนำมาพิจารณาตรึกตรองเพื่อนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติต่อไป ซึ่งการที่พอจะสามารถกระทำได้เช่นนี้ก็เนื่องมาจากการได้รับฟังคำสอนและการอบรมธรรมจากท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลานั้นเอง

เป็นการยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดว่า ความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าของการศึกษาอบรมที่ได้รับจากท่านอาจารย์นั้น มีความหมายที่ใหญ่หลวงมหาศาลต่อชีวิตของตนอย่างไรและเพียงใด แต่พูดได้ว่าที่เป็นเนื้อเป็นตัวอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยการได้รับคำสอนและการอบรมจากท่านอาจารย์นี้เอง แม้จะยังเป็นเพียงผู้ทีเดินอยู่ แต่ก็จะมุ่งหน้าพยายามเดินต่อไปจนสุดกำลังความสามารถ จนกว่าเกวียนเล่มนี้จะแตกหักทำลายไป

ความเป็น "พุทธทาส" ของท่านอาจารย์ที่เด่นชัดอยู่ตลอดเวลา คือการสอนธรรมและบรรยายธรรมที่ลัด ตัด ตรงสู่แก่น หรือหัวใจของคำสอนตามพระพุทธโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่องของความทุกข์และการดับทุกข์

ท่านอาจารย์จะชี้ชัดอย่างตรงประเด็นทีเดียวว่า รากเหง้าของความทุกข์ของมนุษย์คือความหลงยึดมั่นในอัตตา หรือความเป็นตัวตน อย่างไม่ยอมรับหรือไม่ยอมศึกษาให้รู้จักว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเพียงสักแต่ว่าขันธ์ห้าหรือเบญจขันธ์เท่านั้น เพื่อให้เห็นชัด ท่านอาจารย์จึงกระแทกลงไปให้ชัดดังๆ ว่า ความทุกข์เกิดขึ้นก็เพราะหลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ที่ "ตัวกู-ของกู" นี้เอง

ถ้าลดละความยึดถือใน "ตัวกู-ของกู" ลงได้เท่าใด ทุกข์ก็ลดน้อยลงได้เท่านั้น ถ้าหมดความยึดมั่นถือมั่นใน "ตัวกู-ของกู" ได้เมื่อใด ความทุกข์ก็หมดเมื่อนั้น

ได้ยินคำ "ตัวกู-ของกู" ครั้งแรก ก็รู้สึกเหมือนเป็นคำหยาบ ไม่น่าฟัง แต่ก็ลองคิดดูเถิดเมื่อคนเรามีอารมณ์แรงเกิดขึ้นเมื่อใด คำเรียกตัวเองที่ไพเราะ เช่น น้อง ผม ดิฉัน มันเปลี่ยนเป็น "กู" ขึ้นมา เพื่อให้สาสมกับความรุนแรงของอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อแสดงอารมณ์ของ "กู" ให้เห็นชัดใช่หรือไม่ แสดงว่า กูโกรธ กูไม่ยอม กูจะเอา ฯลฯ เป็นกิริยาท่าทางที่ชวนให้น่ารังเกียจน่าดูถูก ไม่น่าคบค้าสมาคม

แต่ "ตัวกู" ขณะนั้น หาได้สำนึกไม่ อาจจะนึกไปอีกอย่างว่า กูกำลังแสดงอำนาจของตัวกูที่จะข่มใครๆ ให้ต้องยอมกลัว ยอมแพ้ ก้มหัวให้ หารู้ไม่ว่า หากเขายอม เขาก็ยอมด้วยความเยาะหยัน ด้วยความชิงชัง และอาจตามมาด้วยความอาฆาตแค้นพยาบาท แต่ที่ซ้ำร้ายกว่านั้น ก็คือ ตัวกูหาได้สำนึกไม่ว่า ตัวกูเองกำลังถูกเผาไหม้อยู่ด้วยไฟปะทุของอารมณ์ที่แรงและร้อนอันเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

นี้แหละ ถ้าลดละ "ตัวกู" เสียได้ ไม่มี "ตัวกู" เสียได้ ความทุกข์ก็ไม่มี ความทุกข์ก็ดับ ดับ "ตัวกู" เสียได้ ก็ดับ "ความทุกข์" ได้

สูตรหรือทฤษฎีการดับทุกข์ที่ท่านอาจารย์ได้นำมาบอกสอนนี้เป็นสูตรที่ไม่ซับซ้อนเลย เข้าใจได้ง่ายมาก เพียงแต่สนใจศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องของ "ตัวกู" ไปทีละน้อย พร้อมกับฝึกหัดขัดเกลาสนิม "ตัวกู" ไปเรื่อยๆ ตามกำลังจนเบาบางลง แล้วจะค่อยๆ อัศจรรย์ใจว่า ความทุกข์มันเบาบางลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ เพราะว่าเป็นไปได้จริง

การลดละ "ตัวกู" ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เข็ดหลาบกับความทุกข์

การสอนให้พุทธบริษัทได้สำนึกในพิษสงที่ร้ายกาจของ "ตัวกู-ของกู" ท่านอาจารย์ได้เน้นการสอนอธิบายในเรื่องของไตรลักษณ์ โดยเฉพาะ "อนัตตา" ซึ่งหมายถึงความมิใช่ตัวตน ถ้าบุคคลไม่สนใจศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจกับเรื่องอนัตตา ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้นั้นย่อมจะยึดมั่นถือมั่นอยู่ใน "อัตตา-ตัวตน" ซึ่งก็คือ "ตัวกู-ของกู" อยู่อย่างเหนียวแน่น แล้วก็ตกจมอยู่ในกองของความทุกข์ทั้งกลางวันกลางคืน จนกว่าจะได้ซึมซาบถึงเรื่องของอนัตตานั่นแหละ ความยึดมั่นในอัตตา-ตัวตน จะจางคลายลง แล้วความทุกข์ก็ย่อมจางคลายลงด้วยตามลำดับ

ทั้งนี้ ก็ย่อมต้องเริ่มต้นการศึกษาพิจารณาไตรลักษณ์ตั้งแต่ อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงแปรปรวนอยู่เป็นธรรมดา แล้วจะค่อยๆ เห็นทุกขัง คือสภาพที่อะไรๆ ก็คงทนอยู่ไม่ได้ ดำรงอยู่ไม่ได้ ในที่สุดก็จะค่อยๆ ซึมซาบและซาบซึ้งในสภาวะของความเป็นอนัตตา คือ ความที่ต้องแปรปรวน เสื่อมสลายไป จนดับสิ้นไป

แหละเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนถึงความที่มิได้มีสิ่งใดเป็นตัวตน ให้เกี่ยวเกาะหรือยึดมั่นถือมั่น ท่านอาจารย์จึงได้นำเรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทมาอธิบายให้ฟัง เพื่อให้พุทธบริษัทได้กระจ่างใจว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตนี้เป็นเพียงกระแสที่ไหลทยอยกันมาตามเหตุตามปัจจัยเช่นนั้นเอง

สิ่งที่กำหนด ก็คือ เหตุปัจจัยที่กระทำ หากกระทำเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง ผลก็คือ ความสุข สงบเย็น หากกระทำเหตุปัจจัยที่ไม่ถูกต้อง (ด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวกู) ผลก็คือความทุกข์อย่างแน่นอน

ดังนั้น การได้มีโอกาสได้ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท กระทำให้ได้เห็นหนทางของการพิจารณาไตร่ตรองได้ลึกซึ้งถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์ว่าเป็นได้อย่างนี้

การที่ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องของอนัตตา อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท มาพูดมาสอนก็ได้มีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า ท่านอาจารย์นำธรรมะชั้นสูงมาสอนอย่างนี้ สูงเกินไป เกินความรู้ความเข้าใจของพุทธบริษัท ถึงพูดให้ฟัง ก็ฟังไม่เข้าใจ จะเอามาปฏิบัติก็คงทำไม่ได้ อะไรทำนองนี้

แต่ในความรู้สึกส่วนตัวกลับมีความเห็นว่า ท่านอาจารย์ใจกว้าง แล้วก็ซื่อตรงต่อพวกเราที่เป็นพุทธบริษัท ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือไม่ใช่ลูกศิษย์ ท่านได้รู้เห็นสิ่งใดหรือธรรมะข้อใดที่สมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงนำมาบอกมาสอนแก่มวลมนุษย์ ท่านอาจารย์ก็เห็นเป็นหน้าที่ของท่านในฐานะ "พุทธทาส" ที่จะต้องนำมาบอกต่อ มาสอนต่อ ให้ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์ เพราะสิ่งใดที่พระพุทธองค์ตรัสสอน สิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งจริง และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติตามได้ ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่นำมาพูดมาสอนนั่นสิ ก็จะเป็นเสมือนหนึ่งว่าท่านมิใช่ครูอาจารย์ที่ "ตรง" ต่อศิษย์ และ "ไม่ตรง" ต่อพระพุทธองค์ในฐานะที่ท่านเป็น "พุทธทาส"

การที่ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องของอนัตตา อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ตลอดถึงสุญญตา นิพพาน มาบอกกล่าวแก่พวกเรา จึงเท่ากับเป็นการเปิดหนทางให้พวกเราได้รู้และเข้าใจถึงจุดหมายปลายทางของการประพฤติปฏิบัติธรรม ว่ามีหนทางดำเนินอย่างไร และไปสู่จุดหมายสูงสุดคืออะไร ส่วนบุคคลใดปารถนาจะประพฤติปฏิบัติมากน้อย หรือใกล้ไกลเพียงใด ก็เป็นสิทธิและความพอใจของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากพวกเราไม่ได้มีความรู้ในข้อธรรมะเหล่านี้เลย ก็ย่อมเป็นการน่าเสียดายอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีศรัทธาและศักยภาพที่สามารถจะปฏิบัติไปได้ไกลหรืออาจถึงที่สุด แต่เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็ไม่รู้หนทาง ถ้าต้องเสียเวลาไปค้นคว้าเสาะหาทางเอง ก็อาจไม่ทันแก่กาลเวลาแห่งชีวิตของตน ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างที่สุดที่โอกาสแห่งชีวิตนี้ได้ถูกปิด เพียงเพราะครูบาอาจารย์บางท่านคิดไปเสียว่า ยากเกินกว่าที่ศิษย์จะเรียนรู้ได้

ในส่วนตัว จึงมีความรู้สึกสำนึกในพระคุณของท่านอาจารย์อย่างล้นเหลือที่ท่านได้กรุณาสอนและบอกกล่าวให้ฟังอย่างหมดจดสิ้นเชิง ส่วนการจะประพฤติปฏิบัติไปได้เพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่ความอุตสาหะบากบั่นอดทนและสติปัญญาแห่งตนเอง เพราะเรื่องของการปฏิบัติเป็นเรื่องเฉพาะตน มิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะมาทำให้แก่ใครได้

อาจจะเป็นด้วยเหตุที่ท่านอาจารย์ได้นำข้อธรรมะในทุกระดับมาบรรยายอธิบายอย่างละเอียด เพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งแก่พุทธบริษัท ท่านอาจารย์จึงมักจะถูกมองไปว่า ท่านเป็นแต่นักปริยัติ มิใช่นักปฏิบัติ แต่ความจริงที่ประจักษ์แก่ใจของตนเองก็คือ ในวันแรกที่มาถึงสวนโมกข์ ได้กราบท่านอาจารย์แล้ว สิ่งที่ท่านอาจารย์สั่งให้ทำเป็นสิ่งแรก คือนับแต่นี้ให้ "อ่านหนังสือเล่มใน" หยุดอ่านหนังสือข้างนอกได้แล้ว

นั่นก็คือ ให้ฝึกปฏิบัติด้วยการหมั่น "ดูจิต" ของตนเพื่อให้รู้จักลักษณะของจิต และให้รู้เท่าทันจิตว่ามีสภาพเป็นอย่างไร จะได้รู้จักแก้ไขพัฒนาจิตเถื่อนนั้นให้เป็นจิตที่เจริญ คือเป็นจิตที่นิ่ง มั่นคง และสงบเย็น พร้อมอยู่ด้วยสติ สมาธิ และปัญญา

แล้วท่านอาจารย์ยังไม่สั่งอีกว่า "ให้หามุมสงบท่ามกลางธรรมชาติ แล้วก็อ่านหนังสือเล่มในให้แตกฉาน ขณะนั้นนึกพูดกับตัวเองว่า ใครๆ ว่าท่านอาจารย์เป็นนักปริยัติ แต่นี่สิ่งแรกที่ท่านบอก คือ เน้นลงไปที่การปฏิบัติ ทั้งท่านยังห้ามไม่ให้เราพูดถึงหนังสือธรรมะที่ได้นำไปเพื่อจะอ่านศึกษา แต่ให้ลงมือปฏิบัติทันที แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์เป็นทั้งนักปริยัติและนักปฏิบัติต่างหาก ตรงตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ทีเดียวว่า จะต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ แล้วจึงจะได้มีปฏิเวธ

เพื่อให้การปฏิบัติปรากฏผลแก่ใจของผู้ปฏิบัติธรรม ท่านอาจารย์ได้สอนเน้นการดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ให้เข้าใจทุกข์สุข ปัจจุบัน, สวรรค์-นรก ปัจจุบัน, บุญ-บาป ปัจจุบัน แม้ที่เราเคยได้ยินพูดกันว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ท่านอาจารย์จะพูดว่า "ทำดี-ดี / ทำชั่ว-ชั่ว" คือเมื่อทำดี ก็ดีแล้วในทันที ที่เป็นความรู้สึกพอใจ อิ่มใจ หรือปีติยินดีที่ได้ทำสิ่งที่ดี ใจรู้สึกเองโดยไม่ต้องให้ผู้ใดบอก

"ทำชั่ว-ชั่ว" ก็รู้สึกได้เองที่ใจอีกเหมือนกัน ที่เป็นความรู้สึกหม่นหมอง เศร้าใจที่ได้ทำชั่วอย่างนั้น แม้ยังไม่มีใครติฉินนินทา ยกเว้นบางคนที่อาจมีจิตใจหนากระด้างผิดธรรมดาที่จะไม่สำนึกเสียเลย แต่ผลแห่งความชั่วก็ปรากฏแก่ผู้ที่ได้รู้จักพบเห็น ถ้าเป็นความชั่วที่เบียดเบียนผู้อื่นก็มีตัวบทกฎหมายลงโทษหนักเบาตามแต่กรณี

ท่านอาจารย์ได้พยายามที่จะโน้มน้าวใจของพุทธบริษัทให้หาให้พบซึ่งความสุขในชีวิตประจำวัน ด้วยประโยคที่ว่า "การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม" หรือ "ทำงานให้สนุก เป็นสุขในการทำงาน" หรือ "การทำงานทุกชนิด ด้วยจิตว่าง" (ว่างจาก "ตัวกู-ของกู")

ที่ท่านอาจารย์เน้นในเรื่องนี้ เพราะทุกชีวิตต้องทำงาน แล้วคนส่วนใหญ่ก็มักจะหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความทุกข์อันเกิดจากการทำงานของตน แต่จะหยุดทำงานก็ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพและด้วยเหตุผลความจำเป็นอื่นๆ อีกนานาประการ จึงเป็นที่น่าสมเพชเวทนาแก่ชีวิตเช่นนี้ยิ่งนักที่ต้องทำงานไป คร่ำครวญไป ดูไม่คุ้มเลยกับการที่ทำงาน

ทั้งนี้ก็เป็นเพราะทำงานด้วยจิตที่วุ่นอยู่ด้วย เรื่อง "ตัวกู-ของกู" นั้นเอง การทำงานนั้นจึงไม่สนุก ไม่เป็นสุข แต่เร่าร้อนไหม้เกรียมด้วยความที่ต้องการให้ได้อย่างที่ใจ "ของกู" ต้องการ การงานนั้นจึงกลายเป็นความทุกข์ เพราะจิตมิได้อยู่กับปัจจุบัน แต่กังวลวุ่นวายอยู่กับเรื่อง "ของกู" จิตจึงไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานที่กระทำในปัจจุบันขณะนั้น

ท่านอาจารย์จึงได้พูดให้สติแก่พุทธบริษัทว่า "อันการงานนั้นน่ารัก การงานเป็นสิ่งมีค่า การงานคือค่าของมนุษย์" ถ้ามองเห็นคุณประโยชน์และความงดงามของการงานในลักษณะเช่นนี้ ผู้ทำงานก็ย่อมมีความสนุก ความสุขเบิกบานใจในการทำงาน ชีวิตการทำงานนั้นก็อยู่เหนือความทุกข์

ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าท่านอาจารย์พยายามหาศิลปะที่จะพูดปลอบประโลมใจให้แง่คิดแก่พุทธบริษัทได้เกิดความฉลาด มีสติปัญญาที่จะแก้ไขความทุกข์และดับทุกข์ในชีวิตประจำวันได้ในทุกแง่มุม

เมื่อย้อนนึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์ที่ว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ มีความรู้สึกประทับใจในคุณค่าของประโยคนี้เป็นที่ยิ่ง เป็นประโยคที่บอกถึงรากฐานความสำคัญของความเป็นมนุษย์ ถ้ามนุษย์เกิดมาโดยไม่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นแล้ว เกียรติศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ย่อมล่มสลาย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงวางแบบอย่างและทรงประพฤติเป็นแบบอย่างแห่งการกระทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์ใจแก่มวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงอวสานกาลอย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ แม้ในนาทีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ นี้จึงเป็นเสมือนได้ทรงแสดงความหมายของคำ "ธรรมะ" อย่างกระจ่างแจ้งของพระองค์ผู้ทรงธรรม

ถ้าพุทธบริษัททุกคนได้สำนึกในความสำคัญแห่งความหมายของ "ธรรมะ คือ หน้าที่" แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของตนๆ สังคมของเราคงจะอบอวลด้วยบรรยากาศของความรัก ความสามัคคี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน เพราะเมื่อต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์และความสุขที่จะเกิดขึ้นทั้งแต่ตนและผู้อื่น การอิจฉาริษยากันก็จะไม่มี การเพ่งโทษกันก็ไม่เกิดขึ้น การเบียดเบียนแก่งแย่งกันก็ไม่มี ศานติสุขย่อมบังเกิดในชุมชนสังคมและชาติบ้านเมือง สมดังความตั้งใจที่ใฝ่หาของมนุษย์

การเข้าใจถึงแก่นความหมายของ "ธรรมะ คือหน้าที่" และการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการทำหน้าที่อย่างถูกต้องให้เกิดประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและผู้อื่นอยู่เนืองนิจ ย่อมเป็นการกระทำที่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของการปฏิบัติธรรม และขณะเดียวกันก็เป็นการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยให้เข้าสู่ความสมบูรณ์ เพราะพลเมืองของชาติต่างขะมักเขม้นทำหน้าที่ของตนให้เกิดคุณประโยชน์ที่สุดแก่สังคมและชาติบ้านเมือง โดยไม่ต้องกังวลอยู่กับการร้องทวงสิทธิ์ โดยละเลยต่อการทำหน้าที่ ที่จะเป็นเหตุให้ประชาธิปไตยล่มสลาย

ในความรู้สึกและความเห็นส่วนตัวที่ได้เคยทำงานอยู่ในแวดวงการศึกษามาตลอดชีวิตจึงมีความเชื่อว่า ถ้าผู้บริหารที่รับผิดชอบจัดการศึกษาของชาติ นำเรื่อง "ธรรมะ คือ หน้าที่" มาเป็นหัวใจคำสอนของพุทธศาสนา และอบรมยุวชนให้ประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจน นี้ย่อมเป็นการจัดการศึกษาที่พัฒนาคนสู่ความเป็นมนุษย์ เกิดประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมได้อย่างกลมกลืน

ผู้ใดที่ได้เข้าไปเยี่ยมหรือไปพักที่สวนโมกข์จะสังเกตได้ว่า ในสวนโมกข์มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายในทุกเรื่อง ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายอุบาสกอุบาสิกา ไม่มีการเรียกร้องหรือขอร้องสิ่งใดเพื่อความสะดวกสบายแห่งตน เพราะมีคำขวัญที่ประทับใจชาวสวนโมกข์ให้รำลึกไว้เสมอว่า "เป็นอยู่อย่างต่ำ แต่มีการกระทำอย่างสูง" อันเป็นการกระทำที่ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น

ดังนั้น ในการแสดงธรรมก็ดี หรือการสนทนาธรรมก็ดี ท่านอาจารย์มักจะย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องของความไม่เห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ผู้อื่นให้มาก อันจะนำมาซึ่งความเป็นผู้มีชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์

การกระทำที่เห็นแก่ผู้อื่นได้มากเพียงใด ก็เท่ากับเป็นการลืม "ตัวกู-ของกู" ได้มากเพียงนั้น ซึ่งเป็นการแน่นอนที่ความทุกข์ย่อมลดลง แล้วความสุขก็เพิ่มขึ้น อันเกิดจากความอิ่มใจภูมิใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของตน ในขณะเดียวกัน ความกระจ่างแจ้งในความหมายของ "ธรรมะ คือ หน้าที่" ก็ยิ่งสว่างชัดขึ้นในใจ

ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมเว้นเสียมิได้ที่จะต้องเทิดทูนพระคุณของท่านอาจารย์ที่ได้กรุณาให้เกียรติแก่ผู้หญิงและมีน้ำใจเมตตาที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อเพศหญิงอย่างหาที่เปรียบและประมาณมิได้ ประจักษ์พยานที่เห็นชัดเจน คือ การที่ท่านอาจารย์ได้ดำริให้จัดตั้ง ธรรมาศรมธรรมมาตา เพื่อ

"ให้เพศหญิงได้มีโอกาสศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ แล้วเผยแผ่และสืบอายุพระพุทธศาสนาได้สูงสุด ในลักษณะธรรมฑูตหญิง เป็นการเสิรมแทนภิกษุณีบริษัทที่ยังขาดอยู่"

ดังปรากฏในเอกสารฉบับหนึ่ง (ในหลายฉบับที่เกี่ยวกับเรื่องธรรมาตา) ที่เขียนด้วยลายมือของท่านอาจารย์เองดังต่อไปนี้:

ธรรมาตา

๑. เพื่อประโยชน์แก่บุคคล
1. ให้เพศแม่ได้รับประโยชน์ที่สุดโดยไม่อาจบวชภิกษุณี
2. เป็นการกตัญญูกตเวทีตอบแทนเพศมารดาให้สมแก่ความเหน็ดเหนื่อย ยากลำบาก
3. แม่จะสามารถอบรมลูกมีธรรม มาแต่ทารก ไม่มีลักษณะหนีพ่อแม่ตามโจรไปแล้วค่อยกลับมา

๒. เพื่อประโยชน์แก่ศาสนา
1. เสริมแทนภิกษุณีบริษัทที่ยังขาดอยู่
2. เพศแม่มีโอกาส การเรียน-การปฏิบัติ รับผลธรรมได้เต็มที่ แล้วเผยแผ่และสืบอายุพระศาสนาได้สูงสุด
3. เพศหญิงสอนเพศหญิงด้วยกัน, ได้ดีกว่า ผลแนบเนียน สดวกกว่า จึงควรมีธรรมมาตา

๓. เพื่อประโยชน์แก่โลก & มนุษยชาติ
1. ให้โลกมีธรรมเป็นมารดา มีสันติภาพยิ่งขึ้น
2. เป็นการให้สิทธิมนุษยชน แก่เพศมารดาเต็มที่
3. มารดาของโลก จะสร้างโลกได้ดีกว่าเก่า ที่แล้วมา อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้
4. เลิกปมด้อยของเพศมารดาในโลก

นอกจากการให้เกียรติแล้ว ท่านอาจารย์ยังได้ให้ความไว้วางใจแก่เพศหญิงอย่างเต็มที่ด้วยประโยคว่า

"เพศหญิงสอนเพศหญิงด้วยกันได้ดีกว่า สะดวกกว่า ผลแนบเนียนกว่า"

ทั้งนี้ ท่านได้เน้นว่า หลักปฏิบัติของอาศรมธรรมมาตานั้น ต้องให้มีปริยัติสูงสุด ปฏิบัติสูงสุด ปฏิเวธสูงสุด และเผยแผ่สูงสุด

ท่านอาจารย์ได้แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้หญิงไว้ ในคำกล่าวอนุโมทนาตอนหนึ่ง ในหนังสือ ธรรมโฆษณ์อรรถานุกรรม เล่ม ๑ ที่ท่านได้เขียนไว้ด้วยลายมือของท่านอาจารย์เองว่า

น หิ สพฺเพสุ ฐาเนสุ ปุริโส โหติ ปณฺฑิโต
อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ ตตฺถ ตตถฺ วิจฺกขณา

ซึ่งแปลว่า "ใช่ว่า บุรุษ จะเป็นบัณฑิต ไปเสียในที่ทุกแห่ง ก็หาไม่, แม้สตรี เมื่อใช้วิจักขณญาณ อยู่ในที่นั้นๆ ก็เป็นบัณฑิตได้" ดังนี้.

แม้ว่า ตามที่มานั้น คำกล่าวนี้ เป็นคำกล่าวของพวกเทวดาจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าจะทูลขอให้พระพุทธองค์ตรัส ก็จะตรัสอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน, ดังนั้น จะจัดว่าเป็นพระพุทธภาสิต ได้อยู่นั่นเอง ข้อนี้ เหมาะสมกับที่สมัยนี้ มีการให้สิทธิต่างๆ แต่สตรีเท่ากับบุรุษ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์หรือโลกแห่งวิทยาการ. ขอให้ตั้งความหวังกันไว้ว่า ในอนาคตกาลข้างหน้านั้น สตรีจะช่วยแบ่งเบาภาระอย่างบุรุษ ของบุรุษแก่บุรุษ ลงไปได้มากอย่างน่าประหลาดใจ ทีเดียว.

โครงการธรรมาศรมธรรมมาตา ได้เริ่มดำเนินงานด้วยการจัดการอบรม โครงการฝึกอบรมตนเพื่อความมีชีวิตพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงาม เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้เป็นเสมือนโครงการนำร่องไปสู่โครงการธรรมาศรมธรรมมาตาในกาลต่อไป เนื่องด้วยเหตุปัจจัยในปัจจุบันยังไม่พร้อมที่จะจัดดำเนินงานโครงการธรรมาศรมธรรมมาตาอย่างเต็มรูปแบบได้

ณ ธรรมาศรมธรรมมาตาแห่งนี้ คือ สถานที่ที่ให้โอกาสแก่สตรีได้ประพฤติพรหมจรรย์จนถึงที่สุดตามศักยภาพแห่งตนในขณะเดียวกันยังมีโอกาสที่จะได้รับการฝึกอบรมเป็นธรรมฑูตหญิงเพื่อประกาศธรรมอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่เพื่อนมนุษย์ ให้ได้ประสบสันติสุขโดยทั่วกัน

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นการสรุปอย่างย่นย่อที่สุด ถึงความประทับใจในแบบอย่างแห่งความเป็นพุทธทาส ของท่านอาจารย์ ที่ท่านได้ให้การสอนธรรมและอบรมธรรมอย่างฝ่ากระแสคลื่นของความงมงายที่เป็นไสยศาสตร์ สู่ความเป็นพุทธศาสตร์ อย่างอาจหาญ เด็ดเดี่ยว และเด็ดขาดด้วยถ้อยคำภาษาที่ตรง ชัดเจน ไม่เกรงใจผู้ฟัง เพื่อดึงใจของพุทธบริษัทให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาตามปณิธานของท่าน

ตลอดชีวิตแห่งความเป็น "พุทธทาส" ของท่านอาจารย์ ท่านได้กระทำหน้าที่ "ทาส" ของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์เต็มเปี่ยม ด้วยความซื่อตรงและจงรักภักดีต่อพระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต เพื่อนำเพื่อนมนุษย์ให้เดินเข้าสู่แสงสว่างของความพ้นทุกข์ตามพระพุทธประสงค์อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ให้บังเกิดความสุขสงบทั้งในส่วนบุคคล สังคม ชาติบ้านเมือง ตลอดถึงในโลก

ร้อยปีที่กำลังจะเลยผ่าน ได้ปรากฏผลแห่งความเสียสละอุทิศชีวิตของท่านอาจารย์ ในการนำพระพุทธธรรมขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาให้กลับมาสู่การประพฤติปฏิบัติของพุทธบริษัท จนสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ในสังคมไทย และแม้กระทั่งในสังคมบางส่วนของโลก ประจักษ์พยานที่เป็นรูปธรรม คือ การที่ยูเนสโกได้ประกาศเฉลิมฉลองครบชาตกาลร้อยปีของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

"ในฐานะที่เป็นบุคคลผู้มีผลงานเป็นแบบอย่างอันดีเลิศในการส่งเสริม ขันติธรรม สันติธรรม วัฒนธรรม.... ด้วยกุศลเจตนาให้สังคมไทยและสังคมโลกประยุกต์หลักธรรมไปใช้ทั้งในระดับส่วนบุคคลและสังคมเพื่อผดุงไว้ซึ่งสันติธรรม ยุติธรรม และให้มนุษย์อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างกลมกลืน....."

ขออนุญาตปิดการเล่าเชิงสนทนานี้ ด้วยคำอนุโมทนาของท่านอาจารย์ ที่ท่านได้เขียนไว้ในตอนท้ายของ "อนุสสรณียานุโมทนา" ว่า;

ขออนุโมทนาแก่ทุกคน ทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไป ที่ได้ตั้งตนไว้ชอบแล้ว โดยทุกๆ ประการ ร่ำรวยกันด้วยบุญกุศล ทั้งผู้ที่ยังอยู่และล่วงลับไปแล้ว เทอญ.

พุทธทาส อินฺทปัญฺโญ

โมกข. ๑๘ มิย. ๓๒

รัญจวน อินทรกำแหง
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙

สัมภาษณ์และประสานงาน: สงวนศรี ตรีเทพประติมา
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙

คัดจาก หนังสือ ร้อยคนร้อยธรรม๑๐๐ปี พุทธทาส
พิมพ์ ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

ที่มา:http://www.buddhadasa.com/100dhamma/100dham100year_runjuen.html

หัวใจกับการออกกำลังกาย



ปัจจุบันที่วิถีชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกนานาชนิดที่ทำให้ชีวิตสบายขึ้น มีอาหารให้เลือก รับประทานมากขึ้นตามรสนิยม แต่ผลก็คือ ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจกลับเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งสถิติผู้ป่วยโรคหัวใจที่มากขึ้นทุกปี และหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญคือ การขาดการออกกำลังกายนั่นเอง

“เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจประการหนึ่งนั้นมาจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เป็นผลทำให้เกิดโรคเรื้อรัง อาทิ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายที่มีหัวใจเป็นกลจักรสำคัญ” นพ.วัธนพล พิพัฒน์นันท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ อธิบาย

ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจที่พบมากที่สุด ทั้งยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ด้วยเช่นกัน “ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือแม้แต่ภาวะหัวใจวายนั้น ป้องกันและฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้ด้วยการออกกำลังอย่างถูกต้องและเหมาะสม” นพ.วัธนพล กล่าว

“หากโลหิตไหลเวียนได้ไม่สะดวก เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายให้เพียงพอ ขณะที่หัวใจเองก็ต้องการเลือดมาหมุนเวียนในปริมาณที่มากพอเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้าปล่อยไว้จนหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหาย หรือที่เรียกว่าหัวใจวายแล้ว หากรักษาไม่ทันก็เป็นอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว”

รู้จักกับเป้าหมายของอัตราการเต้นของหัวใจในผู้ที่ออกกำลังกาย (Target Heart Rate Zone)

หากพูดถึงการออกกำลังกาย ส่วนมากเรามักจะจินตนาการถึงการวิ่งบนสายพาน หรือเล่นกีฬาอย่างหนักหน่วง แต่ในความเป็นจริง การออกกำลังกายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะหัวใจนั้น ไม่จำเป็นต้องหักโหมแต่อย่างใด นพ.วัธนพลเน้นว่า “การเคลื่อนไหวร่างกายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสามารถทำได้ด้วยการทำกิจกรรมทางกายที่ใช้แรงปานกลาง จนกระทั่งหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย เช่น เดินเร็ว ๆ หรือทำงานบ้าน เป็นต้น แต่ถ้าต้องการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของปอดและหัวใจ ต้องให้ความสำคัญกับ Heart Rate หรืออัตราการเต้นของหัวใจให้ดี”

อัตราการเต้นของหัวใจในการออกกำลังกายนั้นมี 2 ประเภท ได้แก่ อัตราการเต้นสูงสุดที่หัวใจของคุณจะสามารถเต้นได้ (Maximum Heart Rate) และเป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจที่ผู้ออกกำลังกายควรพยายามทำให้ได้ในการออกกำลังกายแต่ละครั้ง (Target Heart Rate Zone)

“การคำนวณหาอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดนั้นทำได้คร่าว ๆ คือเอาอายุมาลบออกจาก 220 ส่วนเป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจ จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 - 75 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ตัวอย่างเช่น สมมติคุณอายุ 40 ปี อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดของคุณจะอยู่ที่ 180 ครั้งต่อนาที เป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจของ 180 คือ 90 - 135 ตัวเลขนี้จะเป็นเป้าหมายในการออกกำลังกายทุก ๆ ครั้งของคุณ” นพ.วัธนพล อธิบาย

เมื่อได้ตัวเลขเป้าหมายในการออกกำลังกายมาแล้ว นพ.วัธนพล แนะนำเพิ่มเติมว่า เมื่อจะเริ่มออกกำลังกาย ช่วงสองสามเดือนแรก ให้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ตัวเลขที่ต่ำสุดก่อน (ร้อยละ 50) โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจคงที่อยู่ประมาณ 30 - 45 นาที หรือที่เรียกกันว่าออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั่นเอง เมื่อเข้าเดือนที่ 4 หรือ 5 จึงค่อยเพิ่มระดับขึ้นจนไปถึงตัวเลขสูงสุด (ร้อยละ 75) เมื่อคุณแข็งแรงขึ้นแล้ว คุณอาจเพิ่มระดับเองก็ได้หากคุณต้องการ

“การกำหนดเป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจนี้เป็นการกำหนดระดับความหนักหน่วงในการออกกำลังกาย ทั้งนี้เพื่อให้การออกกำลังกายเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหมจนเกิดการบาดเจ็บ สำหรับบางคนการออกกำลังกายที่ระดับร้อยละ 50 ของเป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจอาจจะรู้สึกว่าหนักเกินไป แต่หมออยากบอกว่า ไม่ต้องเป็นกังวลเพราะเมื่อคุณออกกำลังกายต่อไปอย่างสม่ำเสมอ คุณจะเริ่มชิน มีความทนทานมากขึ้น ออกกำลังกายได้นานขึ้น จนกระทั่งเป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป” นพ.วัธนพล กล่าว

สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย นพ. วัธนพล เน้นว่าควรทำการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้งประมาณ 5 นาทีเพื่อเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการเร่งกิจกรรมทางร่างกายที่จะตามมา รวมทั้งก่อนจะเลิกควรมีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อคลายความหนักหน่วงของกิจกรรมทางร่างกายอีกประมาณ 5 นาที ซึ่งคุณหมอบอกว่าจะช่วยลดอาการบาดเจ็บลงไปได้มาก

สิ่งสำคัญของการออกกำลังกายอีกประการหนึ่งได้แก่ ความสม่ำเสมอ แม้การขยับเขยื้อนร่างกายมากกว่าปกติจะเป็นเรื่องดี แต่คุณ จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากกว่า หากคุณออกกำลังอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง และเรื่องที่จะลืมไม่ได้สำหรับการออก กำลังกายเพื่อสุขภาพหัวใจ คือ การเร่งจังหวะการออกกำลังกายการรักษาระดับ และการทำอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของ ปอดและหัวใจ ต้องให้ความ สำคัญกับ Heart Rate หรือ อัตราการเต้นของหัวใจ

อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด = 220 - อายุของคุณ

เป้าหมายอัตราการเต้นของหัวใจ = (อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด x 0.5) และ (อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด x 0.75)

Source:
http://www.bumrungrad.com/BetterHealth/HeartHealth/Exercise/Exercise1t.asp?utm_source=newsletter-4-2009-th&utm_medium=newsletter&utm_campaign=Bumrungrad

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

Is swine flu 'the big one' or a flu that fizzles?

By MIKE STOBBE, AP Medical Writer Mike Stobbe, Ap Medical Writer – Sun Apr 26, 8:03 pm ET AP – People wear surgical masks as a precaution against infection inside a subway in Mexico City, Friday, …

ATLANTA – As reports of a unique form of swine flu erupt around the world, the inevitable question arises: Is this the big one? Is this the next big global flu epidemic that public health experts have long anticipated and worried about? Is this the novel virus that will kill millions around the world, as pandemics did in 1918, 1957 and 1968? The short answer is it's too soon to tell.

"What makes this so difficult is we may be somewhere between an important but yet still uneventful public health occurrence here — with something that could literally die out over the next couple of weeks and never show up again — or this could be the opening act of a full-fledged influenza pandemic," said Michael Osterholm, a prominent expert on global flu outbreaks with the University of Minnesota.

"We have no clue right now where we are between those two extremes. That's the problem," he said.

Health officials want to take every step to prevent an outbreak from spiraling into mass casualties. Predicting influenza is a dicey endeavor, with the U.S. government famously guessing wrong in 1976 about a swine flu pandemic that never materialized.

"The first lesson is anyone who tries to predict influenza often goes down in flames," said Dr. Richard Wenzel, the immediate past president of the International Society for Infectious Diseases. But health officials are being asked to make such predictions, as panic began to set in over the weekend.

The epicenter was Mexico, where the virus is blamed for 86 deaths and an estimated 1,400 cases in the country since April 13. Schools were closed, church services canceled and Mexican President Felipe Calderon assumed new powers to isolate people infected with the swine flu virus.

International concern magnified as health officials across the world on Sunday said they were investigating suspected cases in people who traveled to Mexico and come back with flu-like illnesses. Among the nations reporting confirmed cases or investigations were Canada, France, Israel and New Zealand.

Meanwhile, in the United States, there were no deaths and all patients had either recovered or were recovering. But the confirmed cases around the nation rose from eight on Saturday morning to 20 by Sunday afternoon, including eight high school kids in New York City — a national media center. The New York Post's front page headline on Sunday was "Pig Flu Panic."
The concern level rose even more when federal officials on Sunday declared a public health emergency — a procedural step, they said, to mobilize antiviral medicine and other resources and be ready if the U.S. situation gets worse.

U.S. Centers for Disease Control and Prevention officials say that so far swine flu cases in this country have been mild. But they also say more cases are likely to be reported, at least partly because doctors and health officials across the country are looking intensively for suspicious cases.

And, troublingly, more severe cases are also likely, said Dr. Richard Besser, the CDC's acting director, in a Sunday news conference.

"As we continue to look for cases, we are going to see a broader spectrum of disease," he predicted. "We're going to see more severe disease in this country."

Besser also repeated what health officials have said since the beginning — they don't understand why the illnesses in Mexico have been more numerous and severe than in the United States. In fact, it's not even certain that new infections are occurring. The numbers could be rising simply because everyone's on the lookout. He also said comparison to past pandemics are difficult.
"Every outbreak is unique," Besser said.

The new virus is called a swine flu, though it contains genetic segments from humans and birds viruses as well as from pigs from North America, Europe and Asia. Health officials had seen combinations of bird, pig and human virus before — but never such an intercontinental mix, including more than one pig virus.

More disturbing, this virus seems to spread among people more easily than past swine flus that have sometimes jumped from pigs to people.

There's a historical cause for people to worry. Flu pandemics have been occurring with some regularity since at least the 1500s, but the frame of reference for health officials is the catastrophe of 1918-19. That one killed an estimated 20 to 50 million people worldwide.

Disease testing and tracking were far less sophisticated then, but the virus appeared in humans and pigs at about the same time and it was known as both Spanish flu and swine flu. Experts since then have said the deadly germ actually originated in birds.

But pigs may have made it worse. That pandemic began with a wave of mild illness that hit in the spring of 1918, followed by a far deadlier wave in the fall which was most lethal to young, healthy adults. Scientists have speculated that something happened to the virus after the first wave — one theory held that it infected pigs or other animals and mutated there — before revisiting humans in a deadlier form.

Pigs are considered particularly susceptible to both bird and human viruses and a likely place where the kind of genetic reassortment can take place that might lead to a new form of deadly, easily spread flu, scientists believe. Such concern triggered public health alarm in 1976, when soldiers at Fort Dix, N.J., became sick with an unusual form of swine flu.

Federal officials vaccinated 40 million Americans. The pandemic never materialized, but thousands who got the shots filed injury claims, saying they suffered a paralyzing condition and other side effects from the vaccinations. To this day, health officials don't know why the 1976 virus petered out.

Flu shots have been offered in the United States since the 1940s, but new types of flu viruses have remained a threat. Global outbreaks occurred again in 1957 and 1968, though the main victims were the elderly and chronically ill.

In the last several years, experts have been focused on a form of bird flu that was first reported in Asia. It's a highly deadly strain that has killed more than 250 people worldwide since 2003. Health officials around the world have taken steps to prepare for the possibility of that becoming a global outbreak, but to date that virus has not gained the ability to spread easily from person to person.

Source: http://news.yahoo.com/s/ap/20090427/ap_on_bi_ge/med_swine_flu_reality_check

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

ออกกำลังสมอง ก่อนสมองจะเสื่อม


ออกกำลังสมอง ก่อนสมองจะเสื่อม โดย ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ

สมองก็เหมือนร่างกายที่ต้องการการออกกำลังให้แข็งแรง คล่องแคล่ว ฉับไว โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะการทำงานของสมองเสื่อมลงจนอาจเกิดภาวะสมองเสื่อม สูญเสียความทรงจำ หรือเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในประเทศไทยพบว่าเมื่อปี 2548 มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสูงถึง 229,1000 คน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 450,200 คนในอีก 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาความดันโลหิตให้ปกติ อย่าให้มีไขมันในเลือดสูง ออกกำลังสมอง ไม่เครียด และเข้าร่วมสังคม จะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็ว

การออกกำลังสมอง หรือ " นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ " (Neurobics Exercise) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยได้ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงนันทิกา ทิวชาชาติ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าถึงถึงวิธีการออกกำลังสมองว่า การออกกำลังสมองเปรียบเทียบได้กับการออกกำลังของร่างกาย ที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น ดังนั้นการออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่าง ๆ มีการทำงานที่ประสานส ัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อย ๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ ( Neurotrophins) ที่เปรียบเหมือน " อาหารสมอง " ที่ทำให้เซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ " เดนไดรต์ " (Dendrite) ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโต และเซลล์สมองแข็งแรง

" เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิด " พุทธิปัญญา " (Cognitive Function) ที่หมายถึงความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง " การทำงานของสมองระดับสูง " (Executive Function) คือ การคิด แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม เรียกง่าย ๆ ว่า " สมองฟิต " เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นแหล่ะ " สำหรับหลักการของการออกกำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ๊กเซอร์ไซส์ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงนันทิกา อธิบายว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Sensory Orga ns) อันได้แก่ การได้ยิน ได้มองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนของ " อารมณ์ " (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม


" ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยชินกับการใช้มือขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดหยิบจับทุกอย่าง ก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายทำแทน เนื่องจากพฤติกรรมและการรับรู้ต่าง ๆ เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา ถ้าเราใช้แต่มือข้างขวาทำทุกอย่าง สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้นด้านเดียว แต่สมองส่วนขวาซึ่งบังคับมือซ้ายก็จะไม่ค่อยได้ทำงานและอาจจะเสื่อมไป ดังนั้นเมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยมือซ้าย ก็ช่วยให้สมองส่วนขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

" การออกกำลังสมองไม่ยากอย่างที่คิด การออกกำลังสมองสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ มาลองทำดูกันนะคะ ถ้าอยู่บ้าน ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ดู

- ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ " มองเห็น " เราก็จะ " ฟัง " และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร

- ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน " สัมผัส " เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน

- สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน

จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน

ระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้

- หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น

- หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้างแผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง

- เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน

ทำงานไปด้วย ฝึกสมองไปด้วยก็ได้

- เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน

- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น

- ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ

ลองฝึกดูนะคะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้นค่ะ

จาก ผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤษภาคม 2551 12:51 น.

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

Living with bad memories

It would have been nice if our memory was like a drawer, so that when er get up in the morning we can just pull out the drawer and take out a file. But it's not the way things are, so we can't just pick and choose our memories. Sometimes undesirable memories that we want to forget pop up in our mind and, funny enough, we tend to forget whatever we want to remember.

by Chiranan Pitpreecha, poet and writer, Daily Express, April 20, 2009, V. 2, No. 318.