ประจำวันที่ : 21 ก.พ. 53
ความโกรธ มาจากรากศัพท์ว่า โกธะ แปลว่า ความขุ่นเคือง มันจะเริ่มต้นมาจากอรติ – ความไม่พอใจ ถ้าระงับไว้ได้ก็จบแค่นั้น ถ้าระงับไม่ได้ก็จะไปถึงปฏิฆะ – ความหงุดหงิดรำคาญ ถ้าระงับไว้ได้แค่ปฏิฆะก็หายไป ถ้าระงับไม่ได้ก็จะกลายเป็นโกรธะ – ความขุ่น เหมือนน้ำที่เราต้มบนเตาไฟ ก็เริ่มขุ่น เริ่มหมุนเริ่มจะร้อน ถ้าระงับไว้ได้ก็ดีไป ระงับไม่ได้จะตามมาเป็นโทสะ – ความพลุ่งพล่าน ระงับไม่อยู่ก็พลุ่งพล่านออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ร้อนใจ ร้อนรน ถูกเผาให้ร้อนด้วยโทสะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในอาทิตตปริยายสูตร ทีว่าร้อนอยู่ด้วยไฟคือราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในที่นี่ก็ร้อนอยู่ด้วยโทสะ แล้วพลุ่งพล่านออกมา ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง
โทสะ ตามตัวบางทีแปลว่า คิดประทุษร้าย ถ้าประทุษร้ายได้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป
นี่พูดถึง ความหมายของเรื่องโกธะ สายของโกธะ หรือที่เราแปลว่าความโกรธ มันมาอย่างนี้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป
ความโกรธเป็น ศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งมวลน้อยคนนักที่จะเอาชนะมันได้ โดยเด็ดขาด ส่วนมากพ่ายแพ้ต่อมัน มันเป็นผู้ชนะที่ไม่ปรานีต่อผู้แพ้ เพราะทำผู้แพ้ให้ประสบภัยพิบัติต่างๆเหลือที่จะกล่าว แต่ถ้าใครชนะมันได้ มันก็จะให้รางวัลที่ประเสริฐสุดต่อบุคคลผู้นั้น คือความสงบสุขของดวงจิตซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของมนุษย์
ขอให้เรามาเป็นนักศึกษาเพื่อเข้าใจความโกรธ เข้าใจถึงโทษและทางออก ขอให้เรามาเป็นนักรบเพื่อชนะความโกรธแค้นกันบ้างเถิด จะเห็นว่ามีคุณค่าแก่ชีวิตของเรามากมายเหลือเกิน คือจิตใจจะสงบเย็นมากกว่าปกติ แม้จะยังไม่เป็นพระอริยะ แต่จิตใจจะสงบเยือกเย็นมากกว่าคนธรรมดา
ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความโกรธแล้ว แต่เป็นเพียงนักศึกษาผู้ที่ฝึกฝนในเรื่องนี้เท่านั้น และรู้สึกว่าได้เห็นผลของการฝึกฝนพอสมควร จึงอยากจะชักชวนพุทธบริษัทให้สนใจในเรื่องนี้ ขอให้พยายามตั้งสัจจาธิษฐานว่า เราจะพยายามครอบงำความโกรธให้ได้มากที่สุด คราวใดที่แสดงความโกรธ ถึงจะชนะคนอื่น ถึงจะเถียงเขาชนะ คือโวหารหรือวาทะเหนือกว่าในการโต้ตอบ แต่ว่าเราแพ้ตัวเอง
ทางหนึ่งที่เราจะเอาชนะตนเองได้คือ ยอมแพ้ผู้อื่น เพราะว่าโดยปกติธรรมดา พวกเรามักมีนิสัยชอบเอาชนะผู้อื่น แต่ว่าพ่ายแพ้ตนเองโดนที่เราไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้แพ้แล้ว เราโกรธ เราเกลียด เราริษยาด่าทอผู้อื่น เมื่อเขานิ่งไม่โต้ตอบ เราก็คิดว่าเราชนะแล้ว แต่ที่จริงเราพ่ายแพ้ตนเองไปก่อนแล้ว เขาผู้อดทนและนิ่งได้ นั่นแหละเป็นผู้ชนะ
ผู้ที่จะเอาชนะตนเองได้ ต้องเป็นคนผู้ฝึกฝนอยู่เสมอ ให้เข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น เดินออกไปเสียจากตัวเอง คือไม่มามุ่นอยู่แต่ความต้องการของตน นึกอยู่เสมอถึงความต้องการของผู้อื่น คือเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นอย่างน้อยก็เสมอกับตัวเอง
ในการยอมแพ้ผู้อื่นหรือพ่ายแพ้ตนเองก็ตาม ถ้าเรายอมแพ้โดยตั้งใจ เราจะไม่มีความขัดแย้งในใจ เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความพ่ายแพ้ เราจะมีความสุขมีความพอใจในความพ่ายแพ้นั้นลักษณะนี้ก็จะทำให้เป็นผู้ชนะใน ความแพ้ คือเอาชนะตนเองได้ ไม่เป็นทุกข์ในความพ่ายแพ้
ฝึกตนให้เป็น คนยอมแพ้เพื่อชัยชนะ และให้เป็นผู้ชนะในความแพ้อยู่เสมอ ก็จะเป็นจ้าวแห่งความสุข ไม่มีอะไรมาทำลายได้
มีโคลงอยู่บทหนึ่ง จำเขามาแต่นึกไม่ออกว่าแหล่งที่มาเป็นที่ไหนบอกว่า
ฆ่าสัตว์เพื่อเสพเนื้อ อีกหวัง
กระดูกงาเขาหนัง เพื่อใช้
ได้สุขแต่ก็ยัง เป็นบาป กรรมเฮย
ฆ่าความโกรธนั้นไซร้ ประโยชน์แท้ บุญเหลือ
ความโกรธไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตามความเข้าใจของคนส่วนมากที่มักหวงแหนความโกรธไว้ เป็นของตน คือเห็นเป็นสิ่งธรรมดาที่จะต้องมีความ โกรธ เหมือนกับเรากินข้าว อาบ น้ำ และขับถ่าย แต่ว่าความโกรธเป็นปัญหาชีวิต ทำให้เกิดปัญหาชีวิต ทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต เป็นเคราะห์ร้ายของคน เราควรจะละอายตัวเอง ละอายผู้อื่น ทุกครั้งที่เราโกรธจนต้องแสดงกิริยาอาการออกมาเหมือนเราเป็นโรคผิวหนังลอง ฟังเสียงตัวเราเองเวลาเราพูดด้วยความโกรธ จะเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังเลย ไม่น่ารักเลย มันเป็นไปเอง โดยที่เราบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับให้นุ่มนวลให้เรียบสักเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเพลิงโทสะมันเผาอยู่ข้างใน มันเหมือนกับว่ามีไฟแล้วก็มีควันออกมา
ใครทำให้เรา โกรธบ่อยๆ เราก็ควรหลีกเลี่ยงคนนั้นเสีย เพราะว่าความโกรธบ่อยๆ และถ้ารุนแรงด้วยจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตมาก มันทำให้หัวใจเต้นแรง เพราะอดรีนาลินมันหลั่งออกมาสารนี้ทำให้ร่างกายวิปริตไปหรือเปลี่ยนแปลงไป เป็นอันตรายมาก บางคนเป็นผู้ใหญ่ โกรธแล้วช็อกตายไปเลยก็มี เคยมีคนสูงอายุโกรธคนใช้มากเอาปืนจะยิงคนใช้ กลับล้มลงตายทั้งที่ยังไม่ทันได้ยิง ฉะนั้นความโกรธนี่มันฆ่าคนไปเยอะแล้ว ฆ่าคนทั้งโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง โดยอ้อมก็คือเป็นเหตุให้คนอื่นมาฆ่าเรา เพราะความโกรธของเราไปประทุษร้ายเขา เขาก็โกรธตอบ บางทีก็มาฆ่า ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย
นอกจากนี้ยัง เป็นการสะสมปฏิฆานุสัย คือ กิเลสสายโทสะส่วนละเอียด ซึ่งจะลงไปก่อตัวสะสมกันอยู่ในจิตส่วนลึก นานไปก็ทำให้เป็นคนมีนิสัยขี้โกรธ กระทบอะไรนิดหน่อยไม่ได้ เหมือนเนื้อส่วนที่เป็นแผลกระทบอะไรเข้าหน่อยก็เจ็บ และเจ็บมากกว่าเนื้อส่วนที่เป็นปกติ เนื้อปกติเอาไม้มาโดนเข้าเอาอะไรมาถูกเข้ามันก็ไม่เป็นอะไร แต่เนื้อที่เป็นแผลอยู่ แม้โดนไม้ธรรมดา ถูกเข้าไปมันก็เจ็บมาก บางทีอาจจะลืมตัวฟาดคนอื่นไป เพราะความเจ็บอันนั้น
ฉะนั้น เราไม่ควรสะสมสิ่งที่ทำให้จิตของเราเป็นแผล ถ้าเป็นแล้วก็ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเรื้อรัง รักษายาก อาจไม่หายเลยก็ได้ ก่อให้เกิดทุกข์ทรมานแก่เราไปตลอดชีวิต เราควรยอมให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะทุกข์ ดังนั้นเราจึงควรกำหนดรู้ทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ เพื่อจะได้ไม่ทุกข์ เหมือนเราเรียนเรื่องโรค เพื่อจะได้ไม่เป็นโรค เพื่อจะได้หาทางป้องกันโรค หาทางบำบัดโรค
ทุกครั้งที่เราโกรธ เราควรละอายตัวเองให้มาก โดย เฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกที่ดี อาจรู้สึกว่าค่าของตนลดต่ำลง เป็นคนไร้ค่าเลยทีเดียว เพราะว่าบางทีด้วยอำนาจของความโกรธ มันทำให้แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ซึ่งเวลาปกติที่ไม่โกรธมันทำไม่ได้ มันพูดไม่ได้ แต่มันก็ทำได้พูด ได้เวลาโกรธ
ขอให้ท่อง สุภาษิตสั้นๆ เอาไว้ว่า “ถ้าเราไม่ ฆ่ามัน(ความโกรธ) มันก็ฆ่าเรา)” ความโกรธ ความวิตกกังวล ความหมกมุ่นครุ่นคิด ความปล่อยให้สังขารมันปรุงจิตของเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันฆ่าเราแน่ๆ
เรื่องเล็กน้อย แต่พอเวลาความโกรธเข้าครอบงำจิต ทำให้จิตมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่เท่าภูเขา พอหายโกรธแล้ว จึงเห็นเท่าเม็ดทรายหรือเท่าขี้ผง จะเขี่ยทิ้งไปเมื่อไรก็ได้ ความรัก ความโลภ ก็เช่นเดียวกันเป็นสิ่งที่พรางตา พรางใจ เป็นสิ่งที่บิดเบือนให้เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
ความโกรธอาจเกิดจากการที่เราต้องการจะควบคุมอะไรสักอย่างหนึ่งหรือใครสักคนหนึ่งให้เป็น ไปตามที่เราปรารถนา แต่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยเพียงพอ ถ้าเราคุมไม่ได้ ก็แสดงว่าเหตุปัจจัยไม่เพียงพอ เราจะไปโทษอะไรสักเท่าไรก็ไม่ได้ มันอยู่ที่เหตุปัจจัย
ยิ่งเป็นคนด้วยแล้ว ยิ่งควบคุมยาก ถ้าเราต้องการควบคุมใครเมื่อไร นั่นคือปัญหาและทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา แม้ว่าจะควบคุมได้บ้างเป็นบางคราว ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฝืดฝืนแห้งแล้ง ไม่สละสลวยกลมกลืนนุ่มนวล ชุ่ม ฉ่ำ เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ
เขาจะรัก จะชัง จะเกลียด จะชอบ เบื่อ ฯลฯ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราเป็นแต่เพียงผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง เหมือนฝนตก แดดออก เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น เราจะไปควบคุมมันได้อย่างไร เราอาจจะหาทางป้องกันตัวเองได้บ้าง เช่น กางร่ม สวมหมวก เพื่อกันแดดกันฝน หรือไม่ออกไปข้างนอกเสียก็ได้ เราก็ไม่ถูกแดด ไม่ถูกฝน เราทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนฝนจะตก แดดจะออก ย่อมอยู่เหนือการควบคุมของเรา ก็คือหาวิธีที่พอจะป้องกันตัวเราเองได้เท่านั้น
ข้อมูลจากหนังสือ วิธีลดละความโกรธ โดย วศิน อินทสระ สนพ.ธรรมดา
Source:http://www.mannature.com/view.asp?ID=92
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น