วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

อัมพาตครึ่งใบหน้า


หากจะกล่าวถึงชื่อ “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เคยผ่านการทำงานมาหลากรูปแบบ หลายแขนง จนภาพของหนุ่มใหญ่รายนี้ในสายตาประชาชนทั่วไป เป็นภาพของทั้งนักการเมือง นักการศึกษา นักบริหาร นักวางนโยบาย และอีกหลายๆ “นัก” ที่เกิดจากประสบการณ์อันมีคุณค่าที่เจ้าตัวได้สั่งสมมาตลอดเส้นทางสายชีวิต ทำให้หลายๆ คนมองว่าดร.อาทิตย์ เป็นคนทำงานกระฉับกระเฉง ทำงานฉับไว สุขภาพดี แต่ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ หนุ่มใหญ่รายนี้เพิ่งจะถึงขั้น “ล้มหมอนนอนเสื่อ” ด้วยโรคที่เราๆ ท่านๆ ไม่ค่อยจะคุ้นหูกันนัก

“ผม เพิ่งจะป่วยเป็นโรค Bell's Palsy ฟังดูชื่อไม่ค่อยจะคุ้นกันเท่าไหร่ มันมาจากชื่อของหมอที่ค้นพบ และศึกษาโรคนี้เป็นคนแรกที่ชื่อ หมอเบลล์ ตอนนี้ก็กำลังรักษาอยู่ นี่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว รักษาทั้งยาและการทำกายภาพบำบัดครับ”

อธิการมหาวิทยาลัยรังสิต เริ่มต้นเปิดประสบการณ์ป่วยในครั้งนี้ ก่อนจะอธิบายว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดอาการป่วยด้วยโรคนี้ ได้ไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารริมถนน ที่ฝุ่นค่อนข้างมาก หลังจากนั้น กลับมาถึงบ้านก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ

“อาการของผมมันเริ่มด้วยความ รู้สึกปวดๆ ที่หลังหู ลักษณะอาการปวดมันจะปวดแบบแปล๊บๆ ปวดเหมือนไฟช็อต ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็ปล่อยไปจนเริ่มรู้สึกผิดปกติที่บริเวณใบหน้า”

ดร.อาทิตย์ กล่าวต่อว่า อาการเจ็บแปล๊บๆ ที่หลังหูนั้น มาทราบเอาภายหลังหลังจากเข้ารับการรักษา โดยได้รับคำอธิบายจากแพทย์เจ้าของไข้ ว่า เกิดจากอาการปลายประสาทคู่ที่ 7 ของสมองซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเกิดอักเสบ

“สิ่ง บ่งบอกให้ผมรู้ตัวว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติก็คือ ผมล้างหน้าแล้วน้ำเข้าตา เ พราะดวงตามันปิดไม่สนิท ต่อมาอีกราวๆ 2-3 วัน มีต้องไปงาน เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกเลยว่าปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้ ก็โทรหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่า ให้รีบมา อาการที่บอกน่าจะเกิดจากโรค Bell's Palsy เราก็ถามคุณหมอเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มาจากไหน คุณหมอก็บอกว่าอาจจะเป็นไวรัส”

ดร.อาทิตย์ กล่าวอีกด้วยว่า ระหว่างที่ป่วยไม่ได้มีอาการเจ็บปวด แต่จะรู้สึกอึดอัดทรมานกับภาวะที่ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าตัวเองได้ “ยิ้มไม่ได้ กินข้าวก็ลำบากขึ้น แต่ที่ยากที่สุดคือการดื่มน้ำ เพราะมันคุมปากไม่ได้ มันจะรั่วออกมา” อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับใคร และกลุ่มเสี่ยงอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ เพศไหน เกิดจากสาเหตุ ใด "นพ.เอกพจน์ นิ่มกุลรัตน์" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ประสาทวิทยา ให้ความกระจ่างในข้อสงสัยนี้ว่า โรค Bell's Palsy นี้ คือโรคที่ก่อให้เกิดภาวะอัมพาตบนใบหน้า

“Bell's Palsy เป็นการอักเสบของเส้นประสาทของสมองคู่ที่7 ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อ จริงๆ ทั่วโลกก็มีคนป่วยเป็นโรคนี้ แต่ไม่ได้มีการเก็บสถิติว่ามีมากน้อยแค่ไหน แล้วจนปัจจุบันก็ยังไม่แน่ชัดว่าสาเหตุจริงๆ เกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส โรค นี้เกิดกับคนได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อายุมากๆ จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าวัยอื่น”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทรายนี้ กล่าวต่ออีกว่า นับว่า ดร.อาทิตย์ เป็นผู้ป่วยที่โชคดีมาก ที่ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายเร็ว และมาพบแพทย์เร็ว เพราะหากรักษาทันในระยะที่เพิ่งจะเริ่มป่วย 2-3 วันแรก การรักษาจะง่ายกว่า และจะหายเร็วกว่า แต่หากปล่อยให้นานกว่านี้ คือ 4-5 วันนับแต่รู้สึกว่าเกิดความผิดปกติจะถือว่าค่อนข้างช้า และทำให้การรักษายากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หายช้ากว่าเดิมหลายเดือนเลยทีเดียว

“โรค นี้ไม่ได้ทำให้ถึงกับเสียชีวิต มากที่สุดก็คือ ใบหน้าจะเป็นอัมพาตถาวร ซึ่งแม้มันจะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องของรูปลักษณ์ เพราะเวลาไปไหนมาไหนคนเราก็ดูหน้าก่อนเป็นอย่างแรก หากเป็นอัมพาตไปครึ่งหน้า ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ปากเบี้ยว ยิ้มแล้วปากไม่เท่ากัน มันก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพพอสมควร”

นพ.เอกพจน์ กล่าวอีกว่า อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรค Bell's Palsy ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน คือมีไข้ต่ำๆ และรู้สึกปวดเมื่อเนื้อตัวคล้ายๆ จะเริ่มเป็นหวัด หลังจากนั้น ก็จะมีอาการปวดแปล๊บๆ ที่เส้นประสาทสมองคู่ที่7 จากปลายประสาทอักเสบ ไปจนถึงภาวะอัมพาตครึ่งใบหน้าที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าของ ตัวเองได้

“วิธีการรักษาทั่วไปก็คือจะให้ยาเสตียรอยด์ควบคู่ไปกับการให้ยาบำรุงปลายประสาทที่อักเสบ และทำกายภาพบำบัด ส่วนการป้องกันนั้น เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าโรค Bell's palsy นี้เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเกิดจากไวรัสที่ขณะนี้ยังไม่ทราบชนิดที่แน่ชัด วิธีการป้องกันก็คือทำร่างกายให้แข็งแรงและพักผ่อนให้เพียงพอครับ โรคนี้ไม่ได้ไกลตัว สามารถเกิดขึ้นได้ และหากรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติอย่างที่อธิบายมา ผู้ป่วยควรต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที” นพ.เอกพจน์ ทิ้งท้าย

Source: http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น