วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ธรรมะ อินเทรนด์ : มรณานุสติ : สบตากับความตาย (1)

เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 13 เมษายน 2554

ในขณะที่ความตายเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับผู้ที่จะต้องเผชิญ และเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับญาติวงศ์ซึ่งยังอยู่ กระทั่งเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่ประหวั่นพรั่นพรึงไม่อยากพูดถึง ไม่อยากพานพบ และไม่ปรารถนาจะให้มาถึงตนเร็วเกินไป แต่พระพุทธศาสนากลับมีท่าทีตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราชาวพุทธฝึก “สบตากับความตาย” เอาไว้เสมอ เพราะมีแต่การเรียนรู้ที่จะสบตากับความตายเท่านั้น ที่เราจะสามารถอยู่เหนือความตายได้

ในพระไตรปิฎกมีพระพุทธวัจนะจำนวนมากที่แนะนำให้ชาวพุทธฝึกสบตากับความตาย ลองพิจารณาข้อความดังต่อไปนี้ก็จะพบว่า ศิลปะการสบตากับความตายนั้น มีว่าอย่างไร (สำนวนแปลโดยพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต)

“อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย สัตบุรุษพึงดูหมิ่นอายุที่น้อยนั้น, พึงประพฤติเหมือนถูกไฟไหม้ศีรษะ, การที่มัจจุราชจะไม่มาหานั้น เป็นอันไม่มี. วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตก็หดสั้นเข้า, อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมหมดสิ้นไป เหมือนดังน้ำค้างในธารน้ำน้อย”

“ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีใครรู้ ทั้งยาก ทั้งน้อย และคนละคนด้วยทุกข์ ความเพียรพยายามที่จะช่วยให้สัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ต้องตายนั้น ไม่มีเลย, แม้อยู่ได้ถึงชรา ก็ต้องตาย, เพราะสัตว์ทั้งหลายมีธรรมดาอย่างนี้เอง”

“ผลไม้สุกแล้ว ก็มีผลิตตลอดเวลา จากการที่จะต้องร่วงหล่นไป ฉันใด, สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็มีผลิตตลอดเวลาจากการที่จะต้องตาย ฉันนั้น ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้วทั้งหมด ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุด ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูที่ไปเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งหมด”

“เมื่อคนเขาเหล่านั้น ถูกมฤตยูครอบเงาแล้ว ต้องไปปรโลก, บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ ญาติทั้งหลายจะป้องกันเหล่าญาติไว้ก็ไม่ได้. ดูเถิด ทั้งที่หมู่ญาติกำลังมองดูพร่ำรำพันอยู่ด้วยประการต่าง ๆ ผู้จะต้องตาย ก็ถูกพาไปแต่ลำพังคนเดียว เหมือนโคที่เขาเอาไปฆ่า”

“โลกถูกความแก่และความตายบดขยี้อย่างนี้เอง, ปราชญ์ทั้งหลายรู้เท่าทันกระบวนความเป็นไปของโลกแล้วจึงไม่เศร้าโศก”

“ท่านไม่รู้ทาง ไม่ว่าของผู้มา หรือของผู้ไป, เมื่อมองไม่เห็นปลายสุดทั้งสองด้าน จะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์. ถ้าคนหลงไหลคร่ำครวญเบียดเบียนตนเองแล้วจะทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นมาได้ บ้างแล้วไซร้, ท่านผู้มีจิตวิญญาณก็คงทำอย่างนั้นบ้าง”

“การร้องไห้หรือโศกเศร้า จะช่วยให้จิตใจสงบสบาย ก็หาไม่, มีแต่จะเกิดทุกข์ทับทวี ทั้งร่างกายก็พลอยจะทรุดโทรม จะเบียดเบียนตัวเองของตัวเอง จนกลายเป็นคนซูบผอมหมดผิวพรรณ. ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะอาศัยการร้องไห้คร่ำครวญนั้นเป็นเครื่องช่วยตัวเขา ก็ไม่ได้, การคร่ำครวญร่ำไห้จึงไร้ประโยชน์. คนที่สลัดความโศกเศร้าไม่ได้มัวทอดถอนใจถึงคนที่ตายไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจความโศกเศร้า ก็มีแต่จะทุกข์หนักยิ่งขึ้น”

“ดูสิ ถึงคนอื่น ๆ ก็กำลังเตรียมจะเดินทางกันไปตามกรรม. ที่นี่ ประดาสัตว์เผชิญกับอำนาจของพญามัจจุราชเข้าแล้ว ต่างก็กำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น”.

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=132476&categoryID=671

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น