โดย... พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
ในคอร์สภาวนาที่ผู้เขียนจัดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ เช่น ภาวนาสำหรับคนรุ่นใหม่ ภาวนาสำหรับนักธุรกิจ ภาวนาสำหรับครอบครัว ภาวนาสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ หรือภาวนาสำหรับพระภิกษุสามเณร และภาวนาสำหรับชาวต่างชาติ ที่ศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน ที่จังหวัดเชียงรายนั้น ผู้เขียนลองสังเกตดูผู้เข้าร่วมภาวนามาหลายปี ได้พบความจริงอย่างหนึ่งว่า หลายคนที่เข้าร่วมภาวนา เริ่มนึกถึงการภาวนาก็ต่อเมื่อเริ่มค้นพบว่ามีปัญหาสุขภาพบางอย่าง หรือเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตกำลังเสียสมดุล แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแต่ก็อยากเรียนรู้ว่าพุทธ ศาสนาสอนอะไร และจะนำไปใช้ในชีวิตได้อย่างไร ก็สมัครเข้ามาเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แต่สำหรับผู้ที่สนใจมาร่วมงาน ภาวนาเพราะเริ่มรู้สึกตัวว่า มีปัญหาสุขภาพนั้น หลายคนเมื่อจบคอร์สแล้ว ก็ค้นพบคำตอบ และสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปในอีกรูปแบบหนึ่ง กล่าวคือ จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตเหมือนตัวเองเป็นเครื่องจักรในโรงงานที่ทำงานแบบไม่มี วันหยุด ก็เริ่มรู้จักคำว่า “ทางสายกลาง” เริ่มรู้ว่า ชีวิตที่ดี ไม่ใช่ชีวิตที่มีเงินเยอะที่สุด หากแต่คือ ชีวิตที่มีสมดุลงาน สมดุลชีวิตต่างหาก ใครก็ตามที่จัดสมดุลงานสมดุลชีวิตได้ จนเกิดสภาวะ “งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์” นับว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ใครก็ตามที่งานสัมฤทธิ์ ทว่าชีวิตขมขื่น (งานรุ่ง ชีวิตและสุขภาพร่วงโรย) ก็ยังถือว่า อยู่ห่างไกลความสำเร็จมากมายนัก
คนจำนวนมากในยุคนี้ นิยมการทำงานหนักจนดูประหนึ่งว่า กำลังตั้งป้อมเป็นศัตรูกับตัวเอง หรือกำลังสาปแช่งตัวเองทางอ้อมด้วยการเสพติดการทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น บางคนอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งคืนทั้งวัน จนสายตาและประสาทตาเสีย ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ บางคนเสพติดการทำงานหนักจนเอาที่ทำงานเป็นบ้านหลังที่หนึ่ง ส่วนบ้านจริง ๆ นั้น ปล่อยให้โทรมไม่มีชีวิตชีวา วัน ๆ แทบไม่ได้กินข้าวร่วมวงกับลูกและภรรยา บางคนบ้าเงินจนไม่ยอมจัดสรรวันหยุดให้กายและใจได้พักผ่อน เมื่อทำงานจนมีเงินมาก ๆ แล้ว จึงได้ไปนอนใช้เงินอยู่ในห้องไอซียูด้วยความเศร้าใจ
นี่คือ ตัวอย่างของชีวิตที่เสียดุลยภาพ
ในปรัชญาเซน มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ของผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ ครั้งเมื่อสนใจศึกษาเรื่องเซนจนเป็นเหตุให้ได้เดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่ญี่ปุ่น
เรื่องมีอยู่ว่า...
ชายคนหนึ่งเมื่อเรียนจบแล้ว ได้รับของขวัญชิ้นหนึ่งจากพ่อเป็นม้าหนุ่ม ม้าตัวนี้ฝีเท้าดีมาก ท่วงทีงามสง่า แข็งแรง เขาดีใจมากกับรางวัลแห่งชีวิตชิ้นนี้ ทันทีที่ได้ม้าจากพ่อ จึงกระโดดขึ้นควบขี่ทันทีอย่างมีความสุข
แต่พลันที่เขากระโดดขึ้นขี่ ม้าตัวนี้ก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วไม่ยอมหยุด บัณฑิตหนุ่มขึ้นขี่อยู่บนหลังม้าตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ผมสีดำสนิท และขี่อยู่อย่างนั้นไปตลอด ม้าพาเขาวิ่งจากบ้านสู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง จากประเทศสู่ประเทศ จากวันสู่คืน จากเดือนสู่ปี จากวัยหนุ่มแน่น ผ่านวัยกลางคน จนกระทั่งผมสีดำของเขากลายเป็นผมสีดอกเลาขาวโพลนเต็มหัว แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ได้ลงจากหลังม้า ร่างกายของเขา ทรุดโทรม อมโรค เหี่ยวย่น หน้าตาของเขามีแต่ริ้วรอยของวันเวลา ดวงตาของเขาแห้งโหยขาดชีวิตชีวา เหมือนซากศพที่ยังมีลมหายใจ
วันหนึ่ง ขณะควบขี่อยู่บนหลังม้าผ่านไปทางย่านชุมชนแห่งหนึ่ง ผู้คนหลายร้อยคนเห็นเขาควบม้ามาแต่ไกล ต่างพากันมุงดู เมื่อเขาควบม้าเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความเร็วสูง ชาวบ้านจึงตะโกนถามด้วยความสนใจใคร่รู้ว่า เขากำลังจะควบม้าไปไหน ชายชราอดีตบัณฑิตหนุ่มตะโกนตอบสวนออกไปว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังจะไปไหน เพราะนับแต่ขึ้นขี่อยู่บนหลังม้า ผมก็ยังไม่เคยลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมกำลังจะไปไหน ก็ลองถามม้าของผมดูสิ”
แล้วม้าจะตอบแทนเขาได้ไหม?
ใช่หรือไม่ว่า เราแต่ละคนที่กำลังทำงานงก ๆ แทบล้มประดาตาย จนไม่หยุดพักผ่อน ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ให้ครอบครัว ให้ธรรมชาติ ให้สังคม หรือให้หมอ (ยามรู้สึกว่าไม่สบาย หรือผิดนัดกับหมอบ่อย ๆ) ให้วัด (ให้การฟื้นฟูจิตวิญญาณ) หรือให้การเดินทางท่องเที่ยว ก็ไม่ต่างอะไรกับบัณฑิตหนุ่มคนนั้นที่นับแต่ขึ้นขี่อยู่บนหลังม้าแล้ว ก็ไม่รู้จักศิลปะที่จะลงจากหลังม้าเพื่อเอาเวลาไปเรียนรู้ชีวิตในมิติด้าน อื่น ๆ บ้าง
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ควบขี่อยู่บนหลังม้ามาแสนนาน จนชีวิตเริ่มเสียสมดุล ปีใหม่นี้ ก็ควรจะเริ่มทบทวนวิถีชีวิตแบบเดิมได้แล้ว จากนั้น ควรบอกตัวเองให้มองหาวิธีลงจากหลังม้าเป็น พัก ๆ ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าการควบขี่อยู่บนหลัง ม้า
หรือหากคนใกล้ตัวของคุณ เป็นนักขี่ม้ามายาวนานจนเสพติดชีวิตบนหลังม้า หากมีเวลา คุณก็ควรตัดบทความนี้ให้เขาอ่าน แล้วถามเขาว่า
“เมื่อไหร่คุณจะลงมาจากหลังม้าเสียที”
ศิลปะการลงจากหลังม้าเป็นพัก ๆ หรือลงแบบลาขาด ไม่ใช่ศิลปะขั้นสูง ใคร ๆ ก็ทำได้ถ้ามีสติ แต่ถ้าปราศจากสติเสีย แล้ว แม้มีใครไปตะโกนบอกให้ลงจากหลังม้า บางทีเขาอาจด่าตอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จงปล่อยเขาให้ควบม้าต่อไปจนแก่ตายบนหลังม้าเถิด
Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=114928
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น