วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง


คำว่าชีวิตประกอบขึ้นมาจาก "กาย" กับ "ใจ" เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กาย" กับ "นาม" องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้

"ใจ" มีความสำคัญมากกว่า "กาย" เพราะ "ใจ" เป็นอย่างไร "กาย" จะเป็นอย่างนั้น

เรื่อง ว.วชิรเมธี

ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ เช่นวันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟลอยละลิ่วลงหลุมก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก" คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่าใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต่ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่ โดยแท้

ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึง นายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะตรวจพบ บางอย่าง ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อม เอาไว้ก่อน พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้กมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยกอย่างไรก็ไม่เป็นที่พอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน

ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้น พร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไป ก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครูฝึก นักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อและคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการที่ว่า ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น จริงๆ

ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น

-คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ

-คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยความกังวล

-คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี ไถยจิต ซึ่งแปลว่า จิตที่มีธาตุแห่งความเป็น หัวขโมย แฝงอยู่

-คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย ปรักกมธาตุ ซึ่งแปลว่า ใจนักสู้ อยู่ข้างใน

-ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น กาย จึงเป็นเหมือนเงาสะท้อนของใจ

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์...หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น

ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้ ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Living etc ฉบับภาษาไทย

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด

วันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา 0:00 น

เริ่มจากเลือดกรุ๊ปเอ ควรออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

ส่วนเลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 – 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 – 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง.

takecareDD@gmail.com

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=33941&categoryID=457

‘เม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้’ บำรุงหัวใจ


เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 04 ธันวาคม 2552 เวลา 0:00 น

บัว ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชินีแห่งไม้น้ำ’ พืชสารพัดประโยชน์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน เราปลูกบัวประดับบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อความสวยงาม ใช้ดอกบัวไหว้พระ หรือแม้กระทั่งนำมาประกอบอาหาร ดังนั้น ‘กินดี’ วันนี้มีเมนูอาหารว่างเพื่อสุขภาพอย่าง ‘เม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้’ รสอร่อยมากคุณค่าสารอาหารช่วยบำรุงหัวใจมาฝากกัน

สำหรับ ‘เม็ดบัว’ พืชสมุนไพรที่ชาวจีนนิยมนำมารับประทาน เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนสูงเทียบเท่าถั่วเหลือง ลูกเดือย และข้าวฟ่าง ทั้งยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ม้าม ไต และลำไส้ ช่วยให้ใจสงบ ทำให้นอนหลับได้ดี และช่วยในเรื่องความจำ

ที่สำคัญในเม็ดบัวยังมี ‘ดีบัว’ แม้รสชาติจะขม แต่สารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) หลายชนิดที่มีอยู่ในดีบัวมีฤทธิ์ต่อการขยายเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจ ลดความดันโลหิต บำรุงสายตา หัวใจ ปอด ไต แก้อาการอสุจิหลั่งเร็วในชายสูงวัยที่อวัยวะเพศเสื่อม

เมนูเม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้ มีส่วนผสมให้ต้องเตรียมดังต่อไปนี้
-เม็ดบัวต้มสุก 1 ถ้วย
-นมถั่วเหลืองชนิดจืด 1 กล่อง
-น้ำตาลกรวด 1 ช้อนโต๊ะ
-แปะก้วยต้มน้ำตาล 1/4 ถ้วย

ส่วนขั้นตอนในการปรุงนั้นเริ่มจากต้มเม็ดบัวนาน 30 นาทีจนเปื่อย จึงนำไปปั่นพร้อมกับนมถั่วเหลืองพอหยาบให้มีลักษณะเป็นชิ้นเล็ก เคี้ยวกรุบ ๆ แล้วเทใส่หม้อ เมื่อตั้งไฟจนเดือดก็ให้เติมน้ำตาลกรวด คนให้ละลาย ตักใส่ชาม แต่งหน้าด้วยแปะก้วยต้มน้ำตาล หรือจะใส่แปะก้วยลงไปต้มกับเม็ดบัวด้วยก็ได้ และหากไม่ต้องการให้เม็ดบัวเป็นสีดำคล้ำ ไม่ควรปรุงอาหารในภาชนะที่ทำจากเหล็ก.

บุษยมาส รักไทย
takecareDD@gmail.com

Source:http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=35477&categoryID=457

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ล่องเรือไหว้พระ เสน่ห์วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำ


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ความงดงามของสถาปัตยกรรม และฝีมือช่างศิลป์ที่สะท้อนผ่าน วัด หลายแห่งซึ่งตั้งอยู่ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นความงามอันทรงคุณค่า

ที่ควรหาโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (ขน.) จึงเชิญชวนเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำ ยลเสน่ห์ความงามของวัดสำคัญ 9 วัดในหนึ่งวัน

เริ่มที่ วัดบุคคโล วัดเก่าแก่อายุกว่า 237 ปี สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเจ้าฟ้าหญิงอุบลวรรณา วัดแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อแพ” ซึ่งเล่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปที่ลอยมากับแพ วนมาอยู่หน้าวัดหลายวัน ชาวบ้านจึงได้ทำพิธีอันเชิญขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่วัด และเป็นที่นิยมกราบไหว้ขอพรเพื่อให้การทำมาค้าขายมีความเจริญรุ่งเรืองสมปรารถนา

วัดยานนาวา พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ "วัดคอกควาย" ตามชื่อหมู่บ้าน ในสมัยกรุงธนบุรีได้รับการยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวง เรียกชื่อใหม่ว่า "วัดคอกกระบือ" ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดยานนาวา"

วัดราชสิงขร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปลายรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275 - 2310) ภายในวัดประดิษฐาน "หลวงพ่อแดง" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริดแกมทองคำปางมารวิชัย มีความงดงามมาก โดยเฉพาะพระพักตร์ ได้รับการขนานนามว่า "หลวงพ่อพระพุทธสุโขทัย" กิตติศัพท์เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ร่ำลือกันว่าผู้ใดได้บนบานศาลกล่าว มักได้สมปรารถนาเสมอ

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ "หลวงพ่อโต" เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกว่า "ซำปอฮุดกง" หรือ "ซำปอกง" วัดนี้เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงพุทธประวัติ และแสดงชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 3 และยังมีหอพระธรรมมณเฑียร เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4

วัดอรุณราชวราราม หรือ “วัดแจ้ง” เป็นอีกวัดหนึ่งที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อ "วัดมะกอก" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์และยังได้ทรงลงมือปั้นหุ่นพระพักตร์ "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" พระประธานในพระอุโบสถด้วยพระองค์เอง สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ได้แก่ พระปรางค์ใหญ่ เป็นพระเจดีย์ทรงปรางค์ก่ออิฐถือปูน ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ อย่างงดงาม

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เดิมเรียกว่า วัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 1 ได้นำระฆังดังกล่าวไปไว้ที่วัดพระแก้ว และโปรดให้สร้างหอระฆัง พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดภายในพระอุโบสถประดิษฐาน "พระประธานยิ้มรับฟ้า" เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางสมาธิ ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก

วัดอมรินทราราม วัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดบางหว้าน้อย” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหมด และทรงพระราชทานนามใหม่ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานศักดิ์สิทธิ์ คือ “หลวงพ่อโบสถ์น้อย” ซึ่งมีเรื่องเล่าถึงปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านจึงเลื่อมใสอย่างมาก

วัดคฤหบดี ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทาน “พระแซกคำ” ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถ หลวงพ่อแซกคำ เป็นพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน ภายในองค์หลวงพ่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 9 องค์ นับเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับพระแก้วมรกต ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้อัญเชิญมากจากเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2369

ปิดท้ายด้วย วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวบ้านเรียกว่า "วัดสมอแครง" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธเทวราชปฏิมากร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดีผสมอู่ทอง ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองซึ่งเพิ่งเปิดให้ชมความสวยงามกันอย่างใกล้ชิดด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจชมความงาม และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดทั้ง 9 แห่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีให้เลือกมากมายหรือสอบถามที่โทร 02-682-9880

Source: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/travel/20091205/88632/ล่องเรือไหว้พระ-เสน่ห์วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำ.html