วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"ธรรมะที่ควรศึกษามากที่สุด คือตัวเราเอง"อุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง




พึ่งตนพึ่งธรรม เรื่องและภาพ โดย มนสิกุล 

โอวาทเภสัชช์ เรื่องและภาพ


               "ขณะนี้ ใครรู้จักตัวเองทั้งข้างนอกข้างในหมดเลยบ้าง? "
   
              ในยามสายของวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา อุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง ถาม นักเดินทาง ๔๐ ชีวิตจาก 'เที่ยวทั่วไทย หัวใจถึงธรรม' นำทีมโดย นพ.บัญชา พงษ์พานิช ที่นั่งรถบัสข้ามคืนจากหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพฯ ไปสุดทางที่วัดป่าหนองไผ่ จ.สกลนคร โดยมีพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นศิษย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งหลวงตาก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตอีกต่อหนึ่ง ทำให้เราสืบสายไปถึงต้นธารอันเป็นตาน้ำแห่งพระธรรมที่องค์พระสัมมาสัมพุทธ เจ้าค้นพบ และนำมาบอกต่อกว่า ๒,๖๐๐ ปีที่มีพุทธบริษัทสืบสายอย่างไม่ขาดตอน และขุมทรัพย์ทางวิปัสสนาปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้เองที่สามารถนำมาปลด เปลื้องพันธนาการทางจิตที่มนุษย์ยึดติดกับสังสารวัฏได้ให้หลุดออกไปได้จริง เมื่อปฏิบัติเองแล้ว พบเห็นเองแล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นต้นทางแห่งทุกข์อีกต่อไป 
   
              ไม่น่าเชื่อว่าคำถามพื้นๆ ที่อาจารย์ถาม จะเป็นคำถามที่เราเอง และใครๆ อีกหลายคน ตอบไม่ได้ แม้ว่าเราจะอยู่กับตัวเรามาตลอดชีวิตก็ตามที
   
              หลังจากที่ทุกคนเงียบ อาจารย์รัญจวนก็กล่าวขึ้นว่า ในความเห็นส่วนตัว ธรรมะที่เราควรจะศึกษามากที่สุด คือตัวเราเอง

              "ถ้าเราไม่ศึกษาตัวเอง แต่วิ่งเข้าวัด ไปเพื่ออะไร เคยถามตัวเองไหมว่ามาวัดทำไม ตอบตัวเองได้ไหม...การปฏิบัติธรรมคือการรู้จักตัวเอง ศึกษาตัวเอง ข้างนอก ชื่ออะไร ทำอะไรไม่ยาก แต่ข้างในที่มองไม่เห็น เคยรู้จักบ้างไหม ถ้าผู้ใดมองตัวเอง เห็นแต่ทางบวก ไม่มีทางลบเลยคิดว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร เป็นคนน่าสงสาร เพราะถ้าหากไม่รู้จักตัวเรา เราจะมาขัดเกลาอะไรเล่า ถ้ามันดีไปทุกอย่างแล้ว "
   
              สิ่งที่ท่านเน้นย้ำก็คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปนั่งสมาธิอย่างเดียว สมาธินั้นเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและสำคัญก็เพื่อให้มีกำลังจิตที่มั่นคง หนักแน่น และจะได้ใช้พื้นฐานของจิตที่มีพลังเช่นนั้น เป็นฐานในการพิจารณาธรรม หรือที่เรียกว่า วิปัสสนาปัญญาให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การเข้ามาหาธรรมะ มาปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญที่สุดก็เพื่อมาขัดเกลาตัวเราเอง
 ขัดเกลาอะไรเล่า ?
   
              อาจารย์รัญจวนอธิบายว่า เมื่อมองเข้าไปข้างในใจแล้วเห็นว่ามันโสโครก มันน่าละอาย นี่แหละเป็นสิ่งที่ต้องขัดเกลา
   
              "อะไรที่เรารู้สึกว่าขลุกขลักอยู่ข้างในก็สิ่งนั้นแหละ เป็นอุปสรรคให้ก้าวไปไม่ได้ เพราะมันมองเห็นแต่ส่วนดีไปซะหมด ฉะนั้น มองดูที่ตรงนี้ แม้ว่าอยู่กับคนหมู่มาก แต่ถ้าไม่พูดไม่คุย ก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่กับข้างในของเรา ในนาทีนั้น มองดูไปข้างในใจว่า เราเป็นคนใจดี ดูเมตตา มีไหม ลองถามแค่นี้ ในส่วนตัวของดิฉันเอง ชอบถามคำถามนี้กับตัวเองเสมอ แล้วก็ต้องลงท้ายด้วยว่า จริงไหม ที่เราคิดว่า เราเป็นอย่างนั้น เป็นการย้ำ เพื่อไม่หลอกตัวเอง
   
              "ถ้าเรามองเห็นว่ามันไม่จริง ที่ว่ามีเมตตา แต่ต้องกับคนที่รู้จักมักคุ้น ญาติพี่น้อง พรรคพวกเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ ถ้าแปลกหน้ามาจากไหน ต้องคิดก่อนว่าจะเมตตาดี ไม่เมตตาดี หรือผ่านไปเลย อืมม์ อย่างนี้เป็นเมตตาในพรหมวิหารสี่หรือเปล่า เขาเรียกว่า เมตตาหลอกๆ อย่าประมาทนะ ความเมตตา ขอให้ออกมาจากใจ จะน้อยจะมากก็ขอให้ออกมาจากใจ ไม่ต้องบอกว่าจะได้อะไรตอบแทน แล้วพอเมตตากรุณาเสร็จแล้ว ใครชื่นใจ เราเองชื่นใจ เราทำอะไรในสิ่งที่ดีงาม ถึงไม่มีคนเห็น แต่อย่างน้อยมีคนหนึ่งเห็น คือตัวเรา
   
              "ฉะนั้น การดูตัวเอง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำหรับผู้มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมจริงๆ และเป็นการปฏิบัติบูชา ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นดู หรือให้คนอื่นรู้ว่ากำลังปฏิบัติธรรม"
   
              อีกคำถามหนึ่งที่อาจารย์รัญจวนให้เราถามกับตัวเองอีกก็คือ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าคนหนึ่ง เรามีองค์ประกอบในตัวพร้อมแล้วหรือยัง
   
              "คำว่า พร้อม ก็คือ รู้จักหรือเปล่าว่าพระพุทธเจ้าคือใคร เคยมีความรู้สึกบ้างไหมว่า เกิดมาชาตินี้มีบุญแค่ไหน ที่ได้มารู้จักพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสมารู้จักพระธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าค้นพบ"
   
              โดยส่วนตัวอาจารย์รัญจวน เล่าว่า ก่อนที่จะมารู้จักพระธรรม รู้สึกว่าอยู่กับความร้อนมามากกว่าครึ่งชีวิต
   
              "แต่ก็ยังโชคดีที่ได้มารู้จักในตอนสุดท้าย มิฉะนั้น จะต้องเป็นผู้ไปมืดเป็นแน่นอน เพราะจะไม่สามารถจัดจิตใจที่ตกหลุมอยู่ในความมัวเมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านทรงมีสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ในการบำรุงบำเรอความสุข ทุกอย่างอย่างเพียบพร้อม และยังเกินพอด้วย เป็นสุขที่เรากระเสือกกระสนกันอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่หยุด แล้วทำไมเจ้าชายสิทธัตถะจึงสลัดทิ้งทุกอย่างที่เป็นความสุขที่มนุษย์แสวงหา หันพระพักตร์เข้าสู่ป่า โดยไม่มีอะไรเลย ทำไมพระองค์จึงได้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดนั้นในการแสวงหาสัจธรรมเพื่อที่จะ ทราบว่า ทุกข์ คืออะไร เหตุของทุกข์มาจากไหน และการดับทุกข์นี้จะต้องทำอย่างไร ต้องดับมันให้ได้ ต้องมีความแจ้ง และยังได้แสดงวิธีที่จะเดิน ให้เจริญในหนทางการปฏิบัติเพื่อถึงซึ่งความสิ้นทุกข์ ที่เราเรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘
   
              "อริยสัจทั้ง๔ ข้อนี้ กว่าที่พระองค์จะแสวงหาได้ ก็เกือบจะสิ้นพระชนม์หลายครั้ง เมื่อใครได้ไปอ่านในพระไตรปิฎกถึงพระประวัติของพระพุทธเจ้า ในขณะที่ทรงแสวงหาสัจธรรมอยู่ ๖ ปีในป่านั้นก็จะเข้าใจ จะให้ง่ายก็ไปอ่านพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านรวบรวม เป็นคำตรัสของพระองค์เองก็จะรู้ว่ากว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นยากลำบากเพียงใด ตลอดพระชนม์ชีพ ๘๐ พรรษา ๔๕ พรรษาที่พระองค์ใช้เวลาสั่งสอนเพื่อนมนุษย์ เสด็จพระราชดำเนินไปที่นั่นที่นี่ด้วยพระบาทเปล่า ไม่หยุดเลย ทั้งที่พระองค์ไม่จำเป็นต้องอย่างนั้น แต่ก็ทรงเสียสละเช่นนี้เพื่ออะไร"
   
              ถ้าไม่ใช่เพื่อความสงบเย็นของมนุษยชาติ แล้วเพื่ออะไรเล่า
   
              "การรู้จักตัวเองก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรารู้ว่า เราจะขัดเกลาสิ่งที่ยังขลุกขลักอยู่ภายในให้เกลี้ยงเกลาได้อย่างไร ยิ่งเกลี้ยงเกลาเท่าไหร่ ธรรมะก็จะเจริญแค่นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงให้เรากลับมาศึกษาตัวเอง แต่ไม่ใช่เพ่งโทษตัวเอง แล้วเราจะพบความจริงในตัวเรา " 
   
              นั่นคือคำแนะนำจากอุบาสิกาคุณรัญจวน ในวัย ๙๑ ปี และวันพระนี้ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ คือวันเกิดของท่าน หนึ่งในครูบาอาจารย์ผู้ทำให้ดำริของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุเป็นจริง ในการสร้างธรรมาศรมธรรมมาตา สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกผู้หญิงได้ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น เฉกเช่นนักบวช โดยไม่ต้องบวช

Source: http://www.komchadluek.net/detail/20120528/131357/'ธรรมะที่ควรศึกษามากสุดคือตัวเรา'อุบาสิการัญจวน.html#.UN6Asaz75BM

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

10 Essentials for a Successful Detox


10 Essentials for a Successful Detox

It’s that time of year again when people try to  make up for their dietary misgivings during the holidays.  More and more people are turning to detoxifying as a way to jump start their health for greater energy, weight loss, and improved health. While detoxification can spell the difference between energy and fatigue, health and illness, not all cleanses or detox diets are created equally.  And,some programs are downright unhealthy.  I’m not a fan of the starvation programs and water fasts, preferring actual food instead.

Toxins disrupt the normal healthy flow within your body, leaving you feeling fatigued, sore and depressed.  They can also lead to serious illnesses, such as cancer, arthritis, diabetes and allergies.  There are literally thousands of toxins and harmful synthetic chemicals in your food, air, water, homes, and workplaces.  In the course of a day, you are exposed to toxic pesticides, herbicides, petrochemicals, industrial chemicals, food colors and additives, stress hormones and a host of other toxins that could be compromising your health.
I’m still amazed at the number of naysayers who tell me that detox isn’t necessary or doesn’t work–I’m sure I’ll hear from some of them in the comments.  I ask them why their body insists on detoxing every minute of every day.  Without ongoing detoxification, our bodies would deteriorate and, ultimately, die.  We need detoxification to live. By eating a healthier diet and following a better lifestyle, we are simply removing obstacles to allow our natural detoxification abilities to ramp up their ability to eliminate harmful substances and restore the body’s natural healing ability.

While your body is equipped to deal with some toxicity, it can be overburdened by the volume and type of toxins found in our modern world.  A good detoxification program helps eliminate toxins from your respiratory system, liver, gall bladder, kidneys and urinary tract, skin, fatty deposits (including cellulite), lymph and other parts of your body.  However, be aware that most detox plans only target the liver and colon, which is inadequate for great health.

Here are some of the essentials for a successful detox.  If you’re looking for more insight into cleansing all of these organ systems, check out my book, The 4-Week Ultimate Body Detox Plan. And, keep in mind, that if you have any serious health issues, you should work with a skilled natural health professional.  If you are pregnant, lactating, or diabetic, or taking essential medications, you’ll want to avoid a detox program. But, most of these essentials are suitable for anyone.

 1. Drink at least 8-10 cups of pure water throughout the day to prevent dehydration.  Dehydration is a chronic problem for most people.  Drinking plenty of pure water is especially important for anyone leading an active lifestyle, since significant amounts of fluid can be lost during exercise.  Add a squeeze of fresh lemon or lime to the water.

2.  Eat moderate amounts of fruit, the best food to keep your colon and lymphatic system–the system that cleans your tissues cleansed and moving properly.  When the lymphatic system is sluggish, pain or weight gain usually result.  Fruit often gets a bad rap thanks to many of the high protein diets, yet it is one of Mother Nature’s most powerful cleansing foods.  It’s best eaten on an empty stomach and in moderation if you’re trying to lose weight.

3.  Start lunch and dinner with a large green salad since it is full of enzymes to help your body with the digestion of your meals, instead of depleting your body’s owns supplies.  Also, leafy greens are powerhouses of vitamins, minerals, chlorophyll (the green color in plants that also helps cleanse your blood), and many phytochemicals–plant nutrients packed with a wide variety of healing abilities.

4.  Eat a small healthy snack every two to three hours to stabilize blood sugar.  Wild blood sugar fluctuations can deplete your energy, cause your body to gain weight, or depress your immune system.  Snacking throughout the day will help stabilize your blood sugar and your energy levels.  Raw, unsalted almonds make the perfect blood-sugar-stabilizing snack since they are packed with fiber and protein. As an added bonus, their rich in minerals like calcium and magnesium.

5.  Avoid eating sweets, synthetic sweeteners or foods sweetened with them during your cleanse.  Sugars depress your immune system for up to 6 hours.  Artificial sweeteners need to be processed by your liver, your body’s main detoxification organ, which takes plentiful amounts of energy.  Free up that energy for cleansing and healing.

6.  Be sure to fit some exercise into your day.  A minimum of twenty minutes of vigorous activity will get your circulation going, improve lymph flow, and increase energy.  Your lymphatic system is the equivalent of a street cleaning system within your body.  It sweeps up toxins from all your tissues.  If you experience swelling, cellulite, pain, or fatigue, your lymphatic system may not be keeping up the toxic load in your body.  Unlike the blood which has the heart to help it pump, the lymphatic system relies on exercise and deep breathing to move.

7.  Avoid margarine and foods made with hydrogenated fats or trans fats.  These toxic and unnatural foods make your body’s detox organs sluggish and require huge amounts of energy for digestion. They also lead to weight gain and many are known neurotoxins, that is, they attack the brain and nervous system, which may result in pain and inflammation, among other health issues.

8.  Avoid foods that contain synthetic colors, preservatives, and other additives. The liver expends massive energy trying to process these artificial substances.  By avoiding them, you are giving your liver a break so it can free up its energy.

9.  Eat plenty of veggies, preferably raw, steamed, or lightly sauteed.

10.  Cut back on animal protein during your cleanse since these foods tax the digestive system.  Lean organic meat or poultry or wild-caught fish in small amounts are fine.
Cleansing your body doesn’t have to be difficult or involve starvation.  With minimal effort and some simple dietary and lifestyle changes, you can help detoxify your body and start to feel better than ever.

Adapted with permission from The 4-Week Ultimate Body Detox Plan by Michelle Schoffro Cook, PhD.  For more health tips, news, and recipes, subscribe to my free e-newsletter World’s Healthiest News.

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“หรือเราจะสมองเสื่อมเสียแล้ว?”


“หรือเราจะสมองเสื่อมเสียแล้ว?”

อาการหลง  ๆ ลืม  ๆ อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกวัย แล้วเมื่อไรจึงควรจะเป็นกังวล
เรื่องของความหลงลืมนั้น ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันมักจะเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่ผู้สูงวัย แต่ความธรรมดาก็อาจกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาได้ หากอาการหลง ๆ ลืม ๆ นั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะสมองเสื่อม

นพ. เขษม์ชัย เสือวรรณศรี อายุรแพทย์ด้านประสาทวิทยา กล่าวกับ Better Health   ถึงอุบัติการณ์โดยทั่วไปของภาวะสมองเสื่อมว่าเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ โดยอายุ 65 ปี พบประมาณร้อยละ 8 อายุ 70 ปีพบมากประมาณร้อยละ 15 และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงร้อยละ 50 ในผู้ที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไป

ทำความเข้าใจกับภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติซึ่งส่งผลต่อการทำงานของสมองหลายส่วนที่พบได้ในผู้สูง อายุโดยมีลักษณะเด่นได้แก่ ความจำที่แย่ลง นอกจากนี้ ยังอาจมีภาวะเสื่อมถอยของของทักษะต่าง ๆ อันเกิดจากการทำงานของสมองจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต หรือประกอบกิจวัตรประจำวัน เช่น การใช้ภาษาและความเข้าใจภาษา เป็นต้น
นพ. เขษม์ชัยอธิบายว่า “สาเหตุของภาวะสมองเสื่อมอาจเกิดจากหลายโรคซึ่งมีทั้งที่สามารถรักษาให้หาย ขาด และรักษาไม่หายขาดในจำนวนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20 เป็นสมองเสื่อมชนิดที่รักษาหายขาด ส่วนอีกร้อยละ 80 ต้องรักษาแบบประคับประคอง”
สาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่อาจหายได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองบางชนิด การขาดวิตามิน บี12 โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น ไทรอยด์ และผลข้างเคียงจากการใช้ยา ส่วนสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่รักษาไม่หายขาด ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ที่พบได้บ่อย และโรคอื่น ๆ ที่ทำให้สมองเสื่อมคล้ายอัลไซเมอร์อีก 5-6 โรค

การวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม
เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ การวินิจฉัยจึงต้องทำอย่างละเอียดเพื่อแพทย์จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและ วางแผนการรักษาและดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง
“แม้ปัญหาเรื่องความจำจะเป็นลักษณะเด่นของภาวะสมองเสื่อมในระยะแรกเริ่ม แต่การจะตัดสินว่าผู้ป่วยเข้ข่ายว่าสมองเสื่อมหรือไม่นั้น แพทย์จะประเมินปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย” นพ. เขษม์ชัยอธิบาย “เป็นต้นว่า ผู้ป่วยมีอาการมานานเท่าไร อย่างน้อย 6 เดือนแล้วหรือยัง และอาการของผู้ป่วยกลายเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะต้องมีปัญหาอย่างอื่นที่แสดงถึงการทำงานของสมองที่ลดลงด้วย อาจจะเป็นเรื่องการใช้ภาษา หรือทักษะบางอย่างที่เสื่อมลง”

ในการวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม แพทย์จะซักประวัติร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยแพทย์อาจซักถามจากญาติหรือผู้ดูแล เนื่องจากในระยะแรก ๆ ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่ามีความเปลี่ยนแปลงบางประการเกิดขึ้น แพทย์จำเป็นต้องเจาะเลือดตรวจ ทำ MRI สมอง ประกอบกับการประเมินการทำงานของสมองเพื่อยืนยันถึงภาวะสมองเสื่อม 

“สาเหตุที่ต้องตรวจให้ละเอียดก็เพื่อทำการแยกโรคว่าภาวะสมองเสื่อมที่เกิด ขึ้นนั้นรักษาได้หรือไม่ และต้องรักษาอย่างไรเพื่อไม่ให้มองข้ามบางสาเหตุที่รักษาได้ ยกตัวอย่างเช่น ญาติพาผู้ป่วยมาพบ บอกว่าเป็นอัลไซเมอร์ แต่พอสอบถามปรากฏว่าสองสามวันก่อนยังปกติดีอยู่ แต่วันนี้จำใครไม่ได้เลย แบบนี้ไม่ใช่โรคอัลไซเมอร์แน่นอน แต่อาจเป็นภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งการรักษาก็ต้องไปเน้นรักษา ทั้งสมองเสื่อมและโรคหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นต้น” นพ. เขษม์ชัยกล่าวเสริม 
เมื่อแน่ใจแล้วว่าผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อม สิ่งที่แพทย์จะต้องทำต่อคือการระบุให้ได้ว่าเกิดจากโรคใด เพื่อเลือกยารักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

อัลไซเมอร์ สาเหตุใหญ่ของภาวะสมองเสื่อม
สาเหตุสำคัญของภาวะสมองเสื่อมชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้ในผู้สูงอายุ เกิดจากโรคอัลไซเมอร์ถึงร้อยละ 60-80 โดยส่วนใหญ่ อาการของโรคจะปรากฏหลังอายุ 60-65 ปีไปแล้ว เว้นแต่ในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่พบได้ไม่บ่อยนัก 
นพ. เขษม์ชัยอธิบายถึงสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ว่า “เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้าอะไมลอยด์ชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งไปจับกับเซลล์สมอง เป็นผลทำให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลงจนถึงระดับที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของ สมองเริ่มจากในส่วนของความจำ การเรียนรู้ความรู้สึกนึกคิด ภาษา และพฤติกรรม”   
โรคอัลไซเมอร์แบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็นสามระยะ คือ ระยะแรก ระยะกลาง และระยะท้าย  
• ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตนเองรู้สึกได้ และอาจเริ่มเครียด อารมณ์เสียง่าย และซึมเศร้า ระยะนี้คนรอบข้างต้องทำความเข้าใจให้มากเมื่อสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง “ญาติส่วนใหญ่มักสงสัยว่า ผู้ดูแลควรทำอย่างไร เมื่อผู้ป่วยลืม พูดหรือคิดอะไรไม่ถูกต้อง ควรถามย้ำหรือแก้ไขเพื่อช่วยผู้ป่วยหรือไม่ อาจจะลองแก้ดูสักครั้ง หากไม่สำเร็จก็อย่าไปคาดคั้นหรือกดดันให้เกิดความเครียด และซึมเศร้า” นพ. เขษม์ชัยกล่าว
• ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก จำชื่อตนเอง หรือคนในครอบครัวไม่ได้ พฤติกรรมอาจเปลี่ยนไปมาก บางรายก้าวร้าวทำร้ายผู้ดูแล นพ. เขษม์ชัยเสริมว่า “ผู้ป่วยระยะนี้ต้องอาศัย การดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษเพราะเริ่มไม่ค่อยรู้เรื่อง สิ่งที่ต้องใส่ใจให้มากในช่วงนี้คือเรื่องความปลอดภัยของตัวผู้ป่วย เช่น ระวังผู้ป่วยเดินออกนอกบ้านเอง รวมทั้งเรื่องของมีคม เตาไฟ แก๊ส”
• ระยะท้าย ผู้ป่วยอาการแย่ลง ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย “ผู้ป่วยระยะท้ายนี้สุขภาพแย่ลงมาก” นพ. เขษม์ชัยอธิบาย “ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้างไม่พูด ร่างกายแย่ลง รับประทานอาหารได้น้อยลง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย และเสียชีวิตในที่สุด”  

การรักษาผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทำได้โดยการรักษาแบบประคับประคอง เนื่องจากโรคนั้นเกิดจากความเสื่อมของสมองซึ่งมักหยุดการดำเนินโรคไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นพ. เขษม์ชัยเน้นว่า “การนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นก็จะช่วยยืดระยะเวลาการดำเนินโรค ได้ รวมทั้งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการรักษา และยังเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

ปัจจุบันมีการวิจัยมากมายที่จะผลิตยารักษาให้อัลไซเมอร์หายขาด ซึ่งเชื่อว่า อาจจะมียาออกมาภายใน 5-10 ปี ข้างหน้า“  

สำคัญที่การดูแล
ผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยจะต้องเสียสละ และปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมากพอสมควร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ผมอยากฝากไว้ว่า ขอให้ทำความเข้าใจกับโรคนี้ให้ดี อาจจะโดยการหาความรู้เพิ่มเติม หรือซักถามจากแพทย์ คุณจะได้ทราบว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมต้องอาศัยความอดทนสูง ประกอบกับความอ่อนโยน ความรัก และความเอาใจใส่ ขอให้ระลึกเสมอว่าอาการ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ นั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของผู้ป่วย นอกจากนี้ ควรมีผู้ดูแลอย่างน้อยสองคน สลับสับเปลี่ยนกันดูแล เพื่อให้อีกคนได้ผ่อนคลาย และมีเวลาพักผ่อนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายครับ”  นพ. เขษม์ชัยกล่าวในตอนท้าย

ดูแลสมองของคุณวันนี้

แม้ภาวะสมองเสื่อมบางชนิดไม่อาจป้องกันได้แต่การดูแลที่ดีอาจช่วยให้สุขภาพสมองของคุณดีกว่า ในระยะยาว
• ควบคุมน้ำหนัก เพราะความอ้วนสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อม
• เลือกรับประทานอาหารเพื่อบำรุงสมอง อาทิ กรดโอเมก้า 3 ในรูปดีเอชเอที่ช่วยปกป้องกรดไขมันที่หุ้มเซลล์ประสาท
• นอนหลับให้มากพอในแต่ละวัน
• มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่เสมอ
• ลองฝึกเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทำอะไรที่ขัดกับชีวิตประจำวัน เช่น รับประทานอาหารด้วยมือซ้าย 
• ออกกำลังกายแบบแอโรบิควันละประมาณ 30 นาที อย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์

เอื้อเฟื้อข้อมูลโดย อ. ศัลยา คงสมบูรณ์เวช
นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา จากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์

คุณทราบหรือไม่?
ผู้สูงอายุบางรายมีอาการเสื่อมถอยด้านความจำ เพ้อ สับสน และประสาทหลอน คล้ายกับภาวะสมอง เสื่อมทุกประการ แต่แท้จริงแล้วเป็นผลมาจากภาวะซึมเศร้า ซึ่งประเมินได้จากการทดสอบทางประสาทจิตเวช และสามารถรักษาได้ผลดี

10 อาการอัลไซเมอร์ที่ต้องสังเกต
1. หลงลืมบ่อย ๆ จนน่าเป็นห่วง    
2. นึกถึงสิ่งที่ได้ทำไปแล้วไม่ออก    
3. นึกคำพูดไม่ออก และใช้คำอื่นแทนทำให้ฟังไม่เข้าใจ    
4. หลงทางกลับบ้านไม่ถูก    
5. แต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะ หรือปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่สนใจทำความสะอาด    
6. บวกลบเลขง่าย ๆ ไม่ได้หรือจำตัวเลขไม่ได้    
7. เก็บข้าวของผิดที่ผิดทางอย่าง ไม่เหมาะสม เช่น เอารองเท้าเก็บในตู้เย็น    
8. อารมณ์แปรปรวนอย่างไม่มีเหตุผล    
9. บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว    
10. เฉื่อยชา ขาดชีวิตชีวา

Source: http://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2555/senior-health/dementia?utm_source=newsletter-11-b-2012&utm_medium=newsletter&utm_campaign=Bumrungrad-thai

สูงวัยอย่างไร้โรค


สูงวัยอย่างไร้โรค
รู้จักและเข้าใจโรคที่มาพร้อมกับวัยที่เพิ่มขึ้นเพื่อชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ

การเพิ่มขึ้นของจำนวน สัดส่วนประชากรสูงอายุ และอายุเฉลี่ยของประชากรนั้นเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก ประเทศไทยเองก็เช่นกัน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปีพ.ศ. 2553 พบว่ามีเรามีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปมากถึง 11% ของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น จากปี พ.ศ. 2550 ถึงเกือบ 1 ล้านคน ขณะเดียวกัน สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ได้เปิดเผยงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าอายุเฉลี่ยของคนไทยนั้นเพิ่มขึ้นจาก เดิมคือ 60 ปี เป็น 73 ปี และมีแนวโน้มจะถึง 80 ปีในอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้า

การมีชีวิตที่ยืนยาวอาจเป็นเรื่องน่ายินดี แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นช่วงชีวิตที่มี คุณภาพ ปราศจากโรคร้ายรุมเร้า และไม่มีอาการเสื่อมสุขภาพใด ๆ ที่รังแต่จะทำให้ชีวิตที่ยืนยาวนั้นหมดความสุข 

Better Health ฉบับนี้มีคำตอบจาก พญ. ลิลลี่ ชัยสมพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ซึ่งจะมาให้คำแนะนำในการป้องกันและดูแลโรคที่มักมาพร้อมกับวัยที่มากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัย 

เริ่มสูงวัยเมื่อไหร่กัน?

โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงวัยหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่สำหรับแพทย์ การสูงวัยกลับหมายถึงสภาพความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย 

“ร่างกายคนเราชราลงไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นจะดูที่อายุอย่างเดียวคงไม่ได้ ส่วนใหญ่การเสื่อมถอยของร่างกายมักจะเริ่มเมื่ออายุย่างเข้า 40 แต่แน่นอนว่าความเร็วช้าของการเสื่อมถอยในแต่ละคนย่อมต่างกัน ยิ่งเราดูแลตัวเองดีแค่ไหน ความสึกหรอที่มาพร้อมกับวัยก็จะยิ่งช้าลงไปเท่านั้น” พญ. ลิลลี่กล่าว

ทั้งนี้ โรคภัยไข้เจ็บดูจะเป็นความเสื่อมถอยที่เห็นได้ชัดที่สุด ซึ่งพญ. ลิลลี่อธิบายว่าเราสามารถแบ่งกลุ่มของโรคในผู้สูงวัยออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ กลุ่มของโรคที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เช่น โรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด และกลุ่มของโรคที่เกิดเฉพาะในผู้สูงวัยเท่านั้น เช่น โรคกระดูกพรุน และภาวะสมองเสื่อม

โรคในหลอดเลือด

กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมองนั้น ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอายุโดยตรง แต่เป็นผลมาจากการละเลยการดูแลสุขภาพเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสมหรือการขาดการออกกำลังกาย จนทำให้เกิดการสั่งสมของน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งการลดความเสี่ยงของโรคกลุ่มนี้สามารถทำได้โดยการไม่รับประทานอาหารจำพวก แป้งหรือไขมันมากเกินไปและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม พญ. ลิลลี่แนะนำว่าไม่ควรละเลิกไขมันหรืออาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไปเสียหมด เพราะนอกจาก ไขมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกายแล้ว โปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ยังเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่ สึกหรอของร่างกายในวัยที่ล่วงเลยได้เป็นอย่างดี

“อาหารที่ผู้สูงอายุมักมองข้ามไปคืออาหารจำพวกโปรตีน เพราะคิดว่าอายุก็มากแล้วไม่อยากรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเคี้ยวยากย่อยยาก แต่ความจริงคือกล้ามเนื้อหรือเซลล์สมองที่ฝ่อลงนั้นต้องการโปรตีนมาบำรุง หากไม่เพียงพอก็จะทำให้สุขภาพถดถอยเร็วยิ่งขึ้น” พญ. ลิลลี่กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่มีอาการของโรคเหล่านี้ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากถั่วหรือปลา แทนที่จะเป็นเนื้อ หมู ไก่ เพราะใยอาหารจากถั่วจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ทำให้ร่างกายระบายคอเลสเตอรอล และจัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ส่วนปลาก็มีไขมันที่เรียกว่าโอเมก้าสาม ซึ่งเป็นไขมันดีที่เชื่อว่าสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย 

โรคของกระดูก
อายุที่มากขึ้นส่งผลให้ความหนาแน่นของกระดูกเบาบางลงจนเปราะหักได้ง่าย และกลายเป็นโรคกระดูกพรุนในที่สุด พญ. ลิลลี่แนะนำให้ผู้หญิงระวังโรคนี้เป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย 

“โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงมีกระดูกที่บางกว่าผู้ชายอยู่แล้ว นอกจากนี้ผู้หญิงยังมีระยะหมดประจำเดือน ซึ่งฮอร์โมนเพศที่เป็นสารช่วยบำรุงกระดูกจะขาดหายไปอย่างกระทันหัน ทำให้กระดูกบางลงอย่างรวดเร็ว ในผู้ชายนั้น ฮอร์โมนเพศจะค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ ตามวัย หรืออาจไม่ลดลงเลยในบางคน” พญ. ลิลลี่ อธิบาย

อันตรายของโรคกระดูกพรุนคือการที่โรคนั้นแทบไม่มีสัญญาณบ่งชี้เลยผู้ป่วย ส่วนใหญ่จึงมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคอยู่ทั้ง ๆ ที่กระดูกอาจจะบางไปมากแล้ว จนกระทั่งเกิดหกล้มกระดูกหักขึ้นมา ดังนั้น การบำรุงกระดูกตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่าง ดี

ในการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงนั้น ผู้สูงอายุควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักได้รับไม่ถึง แม้ว่าจะเน้นรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่าง นม ถั่ว ผักใบเขียว เต้าหู้ ปลา แล้วก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงวัยมักไม่นิยมดื่มนมซึ่งเป็น แหล่งแคลเซียมสำคัญ ซึ่งในกรณีนี้ แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมแคลเซียมเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม การรับประทานแคลเซียมเสริมอาจมีปัญหาในเรื่องการดูดซึม โดยเฉพาะแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งมีอัตราการดูดซึมเพียงร้อยละ 40 โดยประมาณ ทางที่ดีจึงควรแบ่งรับประทานครั้งละประมาณ 500-600 มิลลิกรัม และรับประทานพร้อมมื้ออาหารซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดี ขึ้น 

ผู้สูงวัยกับการใช้ยา

นอกเหนือจากโรคที่มาพร้อมกับวัยแล้ว ปริมาณยาที่ผู้สูงวัยส่วนใหญ่รับประทานก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย โดยสาเหตุมักมาจากการรับยาจากหลายแหล่ง เช่น จากแพทย์หลายคนที่รักษาต่างโรคกัน จากญาติพี่น้อง ที่เป็นห่วงเป็นใย และจากการซื้อยามารับประทานเอง ทั้งยารักษาโรค วิตามิน อาหารเสริม ยาไทย ยาจีน ซึ่งผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่ายาเหล่านั้นรับประทานด้วยกันได้หรือไม่ เรื่องนี้พญ. ลิลลี่แนะนำว่าโดยหลักการแล้วควรรับประทานยาให้น้อยที่สุด และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

“ผู้สูงอายุควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจเป็นแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อดูยาทั้งหมดว่าชนิดใดจำเป็นหรือไม่ และสามารถรับประทานด้วยกันได้หรือเปล่า นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ไปพบแพทย์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ารับประทานยาอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อน” พญ. ลิลลี่แนะนำ

ทั้งนี้ ผู้สูงอายุควรระมัดระวังการรับประทานยาบางชนิดเป็นพิเศษ เช่น ยาแก้อักเสบจำพวก NSAIDs แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน เนื่องจากมีผลข้างเคียงรุนแรง ทั้งกัดกระเพาะ ทำให้ความดันโลหิตสูง และมีผลต่อตับไต ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาจึงควรอยู่ในการกำกับดูแลของแพทย์และไม่ควรใช้ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

ตัวยาอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรระวังคือยาจำพวกยาแก้หวัด แก้แพ้ และยานอนหลับบางชนิด ซึ่งมีผลต่อสมอง หากได้รับมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการมึนงง หรือง่วงจนหกล้มบาดเจ็บได้ ยิ่งหากเป็นยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์รุนแรงอย่างไดอาซีแพมนั้น หากรับประทานติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจทำให้สมองฝ่อ หรือมีอาการซึมเศร้าได้

โรคส่วนใหญ่ที่เกิดในผู้สูงวัยนั้น ยากที่แพทย์จะรักษาอย่างมีประสิทธิภาพได้ หากปราศจากความร่วมมือจากผู้ป่วยในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดด้วยการรับ ประทานอาหารให้ถูกต้องเหมาะสม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้แล้ว การมีสุขภาพจิตที่ดีก็มีส่วนช่วยให้การจัดการดูแลโรคทำได้ง่ายขึ้น ซึ่ง พญ. ลิลลี่ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า บุตรหลานและผู้ใกล้ชิดต้องหมั่นดูแลเอาใส่ใจผู้ใหญ่ในบ้าน เพื่อให้ผู้สูงวัยมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพและมีความสุข

ปัสสาวะ เรื่องเล็กที่กลายเป็นเรื่องใหญ่

ปัญหาการปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะไม่ออก เป็นอีกอาการหนึ่งที่มักเกิดกับผู้สูงอายุโดยในผู้ชายนั้น เกิดจากการที่ต่อมลูกหมากโตขึ้นแล้วไปบีบท่อปัสสาวะ ส่งผลให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก ต้องใช้เวลาเบ่งนาน และอาจถึงขั้นปัสสาวะเองไม่ได้เลย ซึ่งอาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดขูดต่อมลูกหมากบางส่วนออก แต่หากเป็นไม่มาก แพทย์มักจะใช้วิธีให้ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อช่วยให้ต่อมลูกหมากคลายตัวลงก่อน

ในกรณีของผู้หญิงจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม นั่นคือไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อที่ เริ่มหย่อนยานโดยเฉพาะกล้ามเนื้ออุ้มเชิงกราน ทำให้ไม่สามารถปิดกั้นท่อปัสสาวะได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้นอาจทำได้โดยการฝึกขมิบกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดให้ได้ ประมาณร้อยครั้งต่อวัน ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้นและลดอาการปัสสาวะเล็ดลง ในกรณีที่มีอาการมาก แพทย์อาจแนะนำให้แก้ไขด้วยการผ่าตัด

Source: http://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2555/senior-health/healthy?utm_source=newsletter-11-b-2012&utm_medium=newsletter&utm_campaign=Bumrungrad-Thai

ออกกำลังกาย เรื่องจำเป็นของคนวัยเกษียณ

ออกกำลังกาย เรื่องจำเป็นของคนวัยเกษียณ

คุณภาพชีวิตที่ดีเกิดขึ้นได้ทุกวัย หากเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่วันนี้

ไม่ว่าใครก็คงทราบถึงคุณประโยชน์ของการออกกำลังกาย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเสียเมื่อไร โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มักอ้าง ‘เหตุผล’ มากมายที่ทำให้ ‘ออกกำลังกายไม่ได้’ ไม่ว่าจะเป็นการเดินไม่ถนัด เหนื่อย ข้อติด มีโรคประจำตัว เวียนศีรษะ ปวดขาปวดเข่า ฯลฯ 

อันที่จริง วัยเกษียณควรจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เพราะปลอดจากภาระต่าง ๆ แล้ว แต่ความจริงคือ หลายคนต้องเวียนเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว บางรายซึมเศร้า นั่งนอนเฉย ๆ เพราะความเจ็บป่วยรุมเร้า แต่เชื่อหรือไม่ว่า ปัญหาสุขภาพที่บั่นทอนความสุขในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุนั้นอาจบรรเทา หรือทำให้ดีขึ้นได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมซึ่ง Better Health มีความเห็นจาก นพ. สุธี ศิริเวชฎารักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด มาได้เรียบเรียงให้คุณได้อ่านกัน 

การออกกำลัง คือความจำเป็น

แน่นอนว่าการออกกำลังกายเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหลายทางแต่สำหรับผู้สูงอายุ ที่เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวกแล้ว การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความพยายามอยู่ไม่น้อย “การจูงใจให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายนั้นต้องให้ผู้ป่วยทราบถึงผลดีของการออก กำลังกาย และผลเสียของการขาดการออกกำลังกาย” นพ. สุธีเริ่ม

อธิบาย “ยิ่งผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวแล้ว ต้องบอกเลยครับว่าปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ไม่ได้ทำให้คุณออกกำลังกายไม่ได้นะครับ แต่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าคุณจำเป็นต้องออกกำลังกายแล้ว หากยังอยากที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีสุขภาพดี อยากไปไหนได้ไป อยากทำอะไรได้ทำ และสามารถดูแลตัวเองได้ในวัยเกษียณครับ” 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุประสบปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายมี ตั้งแต่ อายุที่เพิ่มขึ้น โรคประจำตัวของแต่ละคน อาทิโรคเบาหวานที่ส่งผลถึงหลอดเลือดส่วนปลาย รวมทั้งการมองเห็นโรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อซึ่งอาจเป็นผลมาจากการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ประกอบกับขาดการออกกำลังกายส่งผลให้กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแอลง และปัญหาเรื่องการทรงตัว อาการวิงเวียน หน้ามืด ทรงตัวลำบาก มักเกิดกับผู้สูงวัยที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคพาร์กินสัน  เป็นต้น

นพ. สุธีเน้นว่า การออกกำลังกายไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นสำหรับทุกคนที่อยากมีสุขภาพ ดีไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด “เหตุที่ผมบอกว่าการออกกำลังกายเป็นความจำเป็นนั้นก็เพราะว่าการออกกำลังกาย มีผลดีต่อร่างกายหลายอย่าง ในผู้สูงอายุการออกกำลังจะช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยเรื่องการทรงตัวเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจและปอด ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนเป็นโรคอะไร เช่น ถ้าเป็นโรคข้อ เดิมอาจจะมีข้อติดอยู่ การออกกำลังกายที่เน้นเรื่องการเคลื่อนไหวของข้อก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคเบาหวานและไขมันสูง ก็จะได้ประโยชน์โดยตรงเพราะถ้าเน้นออกกำลังกายแบบแอโรบิค ร่างกาย ก็จะเผาผลาญ

อาหารดีขึ้น ส่งผลให้น้ำตาลและไขมันในเลือดลดลงลดการใช้ยาลงได้จนกระทั่งสามารถหยุดยาได้ในบางราย” นพ. สุธีกล่าว 

ออกกำลังให้ถูก ทำอย่างไร

การออกกำลังกายในผู้สูงอายุมีความแตกต่างจากการออกกำลังกายในคนหนุ่มสาวมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว นพ. สุธีเน้นว่า“ข้อควรจำในการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ คือ ต้องห้ามออกแรงมากหรือเคลื่อนไหวเร็ว ผมมักจะแนะนำผู้ที่มาปรึกษาว่าให้เน้นออกกำลังกายเป็นส่วน ๆ ไปครับ โดยต้องยึดหลักไว้ว่าทำช้า ๆ ต่อเนื่อง และมีแรงต้านหรือแรงกระแทกน้อย”

การออกกำลังกายในผู้สูงอายุจะเป็นไปเพื่อเน้นเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ดังต่อไปนี้

• เพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อ ทำได้โดยการเคลื่อนไหวข้อต่อต่าง ๆ ให้ได้สุดพิสัยการเคลื่อนไหว เช่น ข้อไหล่ จากแขนแนบอยู่ข้างลำตัวก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเหนือศีรษะให้สุด ทำต่อเนื่องข้อละประมาณ 5-10 ครั้ง

• เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายแบบนี้ คือการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน เน้นพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่จะช่วยเรื่องการเคลื่อนไหว เช่น กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อหลัง เช่น ยกน้ำหนักที่ไม่หนักมากนัก ดันกำแพง หรือการยกแขน ยกขา ในผู้สูงอายุ น้ำหนักของแขนขาก็ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อได้แล้ว
• เพิ่มความยืดหยุ่นและการทรงตัว เป็นการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ จนสุด หรือเกินกว่าพิสัยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อ ร่วมกับมีการถ่ายเทน้ำหนักไปมาเพื่อเพิ่มการทรงตัว ลดโอกาสในการหกล้ม บาดเจ็บ หรือปวดกล้ามเนื้อ ตัวอย่างการออกกำลังกายชนิดนี้ ได้แก่ การรำมวยจีน โยคะ โดยเลือกท่าง่าย ๆ
• เพิ่มสมรรถภาพของหัวใจและปอด หรือที่เรียกว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ อย่างต่อเนื่องให้หัวใจทำงานถึงระดับหนึ่งที่เรียกว่า Target Heart Rate (TGR) หรืออัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย ซึ่งในผู้สูงอายุ TGR จะต่ำกว่าในคนหนุ่มสาวโดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60-70 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Maximum Heart Rate) และคงที่อยู่ประมาณ 15 นาที และควรทำให้ได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือวันเว้นวันโดยประมาณ

image-b.jpg

นพ. สุธีเสริมอีกว่า “การจัดหมวดหมู่การออกกำลังกายเช่นนี้เพื่อให้เราเห็นชัดว่ามีอะไรบ้างที่จำ เป็น ซึ่งการออกกำลังแต่ละครั้งจะได้ประโยชน์หลายอย่างร่วมกัน อาทิ การรำมวยจีน ได้มีการเคลื่อนไหวของข้อ ได้ใช้กล้ามเนื้อจากการยกแขนขา เป็นการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงต้านมีการถ่ายเทน้ำหนักไปมา และหากทำได้นานพอก็ได้ประโยชน์กับหัวใจด้วย”

อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุบางรายอาจมีข้อจำกัด เช่น มีปัญหาเรื่องข้อเข่าหรือมีความเสี่ยงมากต่อการหกล้มบาดเจ็บ ก็อาจปรับเปลี่ยนเป็นการออกกำลังในท่านั่งหรือนอนได้ และแม้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ  แต่ก็ไม่ใช่ไม่ยอมออกกำลังกายเลย ชีวิตหลังวัยเกษียณจะเป็นชีวิตที่เปี่ยมสุข และสุขภาพดีอย่างยั่งยืนหรือไม่ คุณเลือกเองได้ แล้วอย่างนี้คุณพร้อมจะเริ่มชีวิตหลังวัยเกษียณแล้วหรือยัง

คุณหักโหมเกินไปหรือเปล่า


การออกกำลังกายเป็นเรื่องจำเป็นแต่การหักโหมเกินไปนั้นอาจส่งผลร้ายต่อ สุขภาพของผู้สูงอายุ วิธีการประเมินความหนักหน่วงในการออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ คือการบอกด้วยความรู้สึกว่าเหนื่อยมากน้อยเพียงใดด้วย Borg RPE Scale หรือ Rating of Perceived Exertion (RPE) ที่ให้คะแนนความเหนื่อยตามความหนักหน่วงในการออกกำลังกายไว้ตั้งแต่ระดับ 6-20 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
table-A-(1).jpg



ฝากไว้ให้ระวัง!


หากคุณเป็นผู้สูงอายุและคิดจะเริ่มออกกำลังกาย มีหลายเรื่องที่คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังต่อไปนี้
• รู้จักตัวเองว่าเป็นโรคอะไร และมีความเสี่ยงอย่างไร อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสม
• เริ่มออกกำลังกายจากเบา ๆ ในเวลาสั้น ๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มความหนักและระยะเวลาขึ้นจนสามารถออกกำลังกายได้นานถึง 15-30 นาที
• สวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสมคล่องแคล่วเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นขณะออกกำลัง
• จัดสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม สถานที่ออกกำลังกายควรเป็นพื้นที่
• เรียบโล่ง มั่นคง มีอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวจัดเกินไป
• เลือกรูปแบบการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เน้นชนิดที่ช้า ไม่มี
• แรงกระแทกต่อข้อ หรือแรงต้าน และไม่หนักหน่วงเกินไป เช่น การเดินขี่จักรยาน ว่ายน้ำ
• ห้ามกลั้นหายใจหรือเบ่งไม่ว่าจะออกกำลังกายอะไรก็ตาม เพราะจะเพิ่มความต้านทานของหลอดเลือดส่วนปลาย ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักโอกาสที่ความดันจะสูงขึ้นจนเป็นอันตรายมีสูงมาก 
• อาการปวดเมื่อยหลังออกกำลัง (Post Exercise Soreness) อาจเกิดขึ้นได้ พักและปรับรูปแบบการออกกำลังให้เบาลงแล้วจึงค่อยกลับไปออกกำลังกายตามเดิม
• อบอุ่นร่างกายทุกครั้งประมาณ 10 นาที เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่นก่อนออกกำลังกาย และอย่าหยุดทันทีทันใดภายหลังออกกำลังกาย ให้เวลาในการ “คูลดาวน์” ประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้เลือดไหลกลับสู่หัวใจและสมอง ซึ่งจะลดอาการปวด เวียนศีรษะลงได้
• อย่าออกกำลังกายจนรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป สังเกตการหายใจว่าเร็วเกินไปหรือไม่ พูดฟังรู้เรื่องหรือไม่
• หากมีอาการผิดปกติระหว่างออกกำลังกาย เช่น หายใจขัด เจ็บหน้าอกหรือเวียนศีรษะต้องหยุดทันที

Source: http://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2555/senior-health/exercise?utm_source=newsletter-11-b-2012&utm_medium=newsletter&utm_campaign=Bumrungrad-thai

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Best, Worst Breakfasts for Your Health

By Lisa Collier Cool Nov 13, 2012


Fast-food breakfast sandwiches could be “a time bomb in a bun”—and eating even one fat-laden morning meal has immediate adverse effects on your arteries, according to a new study presented at the Canadian Cardiovascular Congress meeting in Toronto.

A high-fat diet is linked to increased risk for atherosclerosis (narrowing of arteries due to plaque deposits), but the study suggests that damage that could lead to a heart attack or stroke may start sooner than was previously thought.

Just one day of eating a fat-laden breakfast sandwich–such as egg, cheese and ham sandwich on a bun – and "your blood vessels become unhappy," said Heart and Stroke Foundation researcher Dr. Todd Anderson, director of the Libin Cardiovascular Institute of Alberta and head of cardiac science at the University of Calgary in a statement.

The study measured blood flow through the forearm in 20 healthy people (average age 23). The researchers mentioned that the sandwich used in the study contained ham, egg, and cheese but did not name the restaurant from which it came. The goal was to reveal the risks of eating a general type of widely available breakfast sandwich, not to point the finger at specific restaurant. The test was done twice: once on a day when they’d eaten two fast-food breakfast sandwiches of a type that available anywhere in the US or Canada, and again on another day when they’d fasted. The sandwiches contained a whopping 50 grams of fat and 900 calories.

7 Warning Signs of A Heart Attack

Impaired Blood Flow Two Hours After Meal

Compared to volunteers who skipped breakfast, those who consumed the fatty sandwiches showed impaired blood flow in their forearms two hours after the greasy morning meal. That’s because their vessels were less able to dilate (widen) and deliver oxygenated blood to the heart.

While the effects from a single meal were temporary, over time such arterial changes could set the stage for a heart attack or stroke, the researchers report. They used a test called velocity time integral that measures how much blood flow can increase after a brief interruption (compressing the arm with a blood pressure cuff). The higher the velocity, the “happier” the blood vessels are.

While one cheesy sandwich isn’t going to do lasting damage, the researchers say that their results highlight the importance of limiting fat, cholesterol, calories, and salt to prevent heart attacks and strokes. A junk-food diet has also been linked to increased risk for dementia, a memory-robbing disorder that has been called “type 3 diabetes,” as I reported recently.

Watch Out for These Alzheimer's Warning Signs

What’s the Worst Breakfast of All?

Whether you’re looking to slim down, build muscle, train for a marathon, or just protect your health, breakfast really is the most important meal of the day. And a fast-food morning meal is not the worse choice. Instead, the unhealthiest option is not eating a morning meal at all.

Not only do people who skip their morning meal—or begin the day with only a cup of coffee—have less energy, worse moods, and poorer memory those who eat breakfast, studies show, but they also face some serious health risks. First of all, they’re up to 450 percent more likely to become obese, which in turn boosts risk for a wide range of ailments, including cardiovascular disease—the leading killer of Americans—gout, joint problems, and even some forms of cancer.

A 2012 study published in American Journal of Clinical Nutrition also reports that people who regularly skip breakfast have a 21 percent higher risk for type 2 diabetes. The researchers tracked about 29,000 men for 16 years and found that the increased risk remained even when body mass index was into account. Scientists suspect that a morning meal helps keep blood sugar levels stable during the day.

What’s the Healthiest Breakfast?

The right breakfast not only reduces risk for overeating later in the day, but also revs up metabolism, fuels your body and brain, and helps you maintain a healthy weight. For example, 80 percent of participants in the ongoing National Weight Control Registry study (which tracks more than 4,000 people who have dropped 30 or more pounds and kept them off for a year or longer) eat breakfast regularly.

Nutritionists advise including both lean protein and fiber in your morning meal, such as whole-grain unsweetened or low-sugar cereal mixed with non-fat yogurt, low-fat milk, or soy milk and topped with fresh fruit. Researchers at University of Texas at El Paso report that eating a filling breakfast helps people consume an average of 100 fewer calories per day, enough to add up to ten-pound weight loss over a year.

The Breakfast Food that Fights Belly Fat

Another study linked having whole-grain cereal for breakfast with reduced levels of cortisol, a stress hormone linked to both weight gain and a tendency to accumulate belly fat. A large waistline is the leading warning sign of metabolic syndrome, which quintuple risks for type 2 diabetes and triple it for heart attack.
As I reported recently, 95 percent of Americans don’t eat the recommended three ounces of whole grains a day, which you can get from a slice of whole-wheat bread, a 6-inch whole-grain corn tortilla, or a serving of cereal. The health benefits of whole grain include:
  • Longer life. A high-fiber diet can cut risk of death from cardiovascular causes by nearly 60 percent, according to a recent nine-year study of nearly 400,000 people ages 50 and older.
  • A healthier heart. Soluble fiber in oatmeal and out bran reduces LDL “bad,” cholesterol and total cholesterol.
  • Weight loss. Whole grains digest more slowly than refined grains, which keeps blood sugar levels stable rather than stimulating insulin. 
Foods that Boost Your Immune System

Source: http://health.yahoo.net/experts/dayinhealth/best-and-worst-breakfasts-your-health

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อันตราย จาก "นมวัว"!?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       สัตว์ทั่วไปดื่มนมจากแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก พออายุมากขึ้นหน่อยก็จะเลิกดูดนมและกินอาหารอย่างอื่นแทน แต่มนุษย์น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกที่ดื่มนมตั้งแต่แรกทารกและยังมีสมองที่ จะสามารถไปรีดนมจากสัตว์ชนิดอื่นมาเก็บสะสมเอาไว้ดื่มกินแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ตาม
      
        ความจริงแล้วนมวัวก็น่าที่จะเหมาะกับวัวมากที่สุด นมคนก็น่าจะเหมาะกับคนเช่นเดียวกัน คนจะมีน้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอดด้วยการดื่มนมจากแม่อย่างเดียว แต่ลูกวัวนั้นน้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัมในเวลาเท่ากัน และวัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม
      
        แต่ลูกคนกินนมวัวมากกว่าลูกวัวเสียอีก ลูกวัวดื่มนมจากแม่วัวแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบๆปี ฉะนั้นฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ของวัวจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิม
      
        เพราะการถูกครอบทางวัฒนธรรมและแฟชั่นจากชาติมหาอำนาจทางตะวันตกว่าคนที่เป็น ดาราภาพยนตร์ต้องตัวโตสูงใหญ่มีโอกาสในการทำงานมากและจะหารายได้ได้มาก และคนเอเชียตัวเล็กเพราะขาดโปรตีน ต่อมารัฐบาลในหลายประเทศรณรงค์ให้คนเอเชียจำนวนหันมาดื่มนมวัวและมีร่างกาย ใหญ่โตมากขึ้น จนเราไม่เคยรู้อีกด้านหนึ่งนมวัวว่าเป็นอันตรายอย่างไร แม้แต่ในประเทศไทยก็ส่งเสริมให้เด็กดื่มนมวัวติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกันการดื่มนมวัวที่มากขึ้นของคนไทย ก็ได้สร้างให้อุตสาหกรรมยาได้ขายยาอีกจำนวนมากให้คนไทยได้กินกัน
      
        ความจริงแล้วคนไทยและคนเอเชียถึงร้อยละ 80 ไม่มีน้ำย่อยแล็กโตสในนม ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการท้องเสีย และอีกส่วนหนึ่งก็คือแพ้เคซีนในนม ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์สามารถดูดซึมโปรตีนในนม (Net Protein Utilization) ได้เพียงร้อยละ 82 และดูดซึมไม่ได้อีกร้อยละ 18 จะดูดซึมไม่ได้ จะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและทำให้เกิด Immune Complex หรือสารก่อภูมิแพ้ตัวใหม่ๆขึ้น
      
        นายแพทย์ เอส. ซี. ทรูเลิฟ
ในวารสาร British Medical Journal ปี 1961 และงานของ ดี.โจเซฟ ซักคา ในวารสาร Annual of allergy พฤษภาคม 1971 ระบุเอาไว้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมกับการเกิดลำไส้อักเสบจากภาวะ ภูมิแพ้
      
        นอกจากนี้ นมวัว เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จึงมีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงและเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เราอาจไม่รู้ว่าการดื่มนมวันละ 2 แก้ว เทียบเท่ากับรับคลอเรสเตอรอลจากการรับประทานเบคอน 34 ชิ้น!!!
      
        และยังรวมถึงโรคอื่นๆอีกมากที่มีความสัมพันธ์กับนมวัว เช่น โรคกระดูกพรุน โรคอัลไซเมอร์ โรคเวียนศีรษะในผู้สูงอายุ โรคปวดหัวไมเกรน ฯลฯ
      
        ตัวอย่างเช่น หลายคนเดิมอาจคิดว่าการดื่มนมวัวมากๆน่าจะเพิ่มแคลเซียมในกระดูก ทำไมถึงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงมีอยู่ว่าน้ำนมประกอบด้วยแคลเซียมประมาณ 3 ส่วนและฟอสฟอรัส 2 ส่วน หากดื่มนมมากกว่า 500 มิลลิลิตร ร่างกายก็จะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินจำเป็น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูก จนเป็นเหตุให้มวลหรือเนื้อกระดูกบางลง
      
        นอกจากนี้ Dr. Samuel Epstein จากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ ได้เตือนถึงอันตรายของระดับฮอร์โมนชนิดหนึ่งในนมวัวซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ ทำให้เกิดการเจริญเติบโต ชื่อ Insulin like Growth Factor One หรือ IGF-1 ปริมาณสูงในนมจากวัวซึ่งถูกฉีด synthetic bovine growth hormone(rBGH) เขาได้เตือนว่า IGF-1 ในนมวัวเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งทางเดินอาหาร

      
        ยังมีนักวิจัยอีกมากพบว่า IGF-1 มีความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยืนยันผลว่า ระดับ IGF-1 ในเลือดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
      
        ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เป็นนักโภชนาการของสหรัฐอเมริกา เคยทำงานวิจัยในสถาบันทีมีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์ (MIT), สถาบันเทคโนโลยี เวอร์จีเนีย, มหาวิทยาลัยคอร์เนล และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสหพันธ์อเมริกันเพื่อการทดลองวิทยา และได้ทำงานวิจัยระดับชาติจีนศึกษา (China Study) ซึ่งเป็นงานร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และสถาบันการแพทย์ป้องกันโรคของประเทศจีน ได้เป็นบุคคลหนึ่งที่วิจัยและทดสอบพบว่าเนื้อสัตว์และโปรตีนจากสัตว์มีความ สัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิดของมนุษย์
      
        ซึ่งแม้จะงานวิจัยดังกล่าวจะมีรายละเอียดในการทดสอบและเปรียบเทียบระหว่าง กลุ่มชาวจีนกับชาวอเมริกัน แต่ในที่นี้จะขอไม่กล่าวถึงการวิจัยเรื่องมนุษย์ เพราะผมเห็นว่าน่าจะยังมีตัวแปรอีกมากที่อาจไม่เกี่ยวกับอาหารชนิดเดียวกัน โดยตรง เช่น อาหารอื่นๆ อารมณ์ อากาศ วัฒนธรรม การออกกำลังกาย อาการอุปทานหรือยาหลอก ฯลฯ ในที่นี้จึงขอกล่าวอ้างอิงเฉพาะการทดสอบที่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้โดย การใช้หนูทดลอง ซึ่งได้ผลน่าสนใจบางประการดังนี้
      
        ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เดิมเป็นคนที่ส่งเสริมให้คนบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม และไข่มาก ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ภายหลังต่อมากลายเป็นผู้ที่รณรงค์ให้คนลดการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และนม โดย ดร.ที คอลลิน แคมเบลล์ ได้พบงานวิจัยของอินเดียซึ่งเป็นจุดประกายสำคัญในการทดลองต่อๆกันมา โดยงานานวิจัยชิ้นนั้นพบว่า
      
        "หนูทดลองทุกตัวซึ่งได้รับสารก่อมะเร็งในถั่วที่ชื่อ อะฟลาทอกซิน พบว่าหากให้โปรตีนจากนมวัว 20% พบว่าหนูทั้งหมดจะกลายเป็นโรคมะเร็งในตับ ในขณะที่หนูกลุ่มที่ได้รับโปรตีนจากนมวัว 5% จะไม่มีตัวไหนเป็นมะเร็งเลย"
      
        ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์
จึงได้ทำการทดลองต่อยอดกับหนูทดลองอีกหลายกรณีพบผลการวิจัย สรุปการทดลองบางส่วนพบว่า
      
        1. การบริโภคโปรตีนจากนมวัว (เคซีน)ลดลง จะมีผลทำให้การจับกันระหว่างอะฟลาทอกซินกับดีเอ็นเอลดลง และทำให้มีหลักฐานชี้ชัดว่าการบริโภคโปรตีนจากนมวัวในปริมาณที่ต่ำมีผลทำให้ การทำงานของเอนไซม์ลดลงอย่างมาก และป้องกันไม่ให้สารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายจับกับดีเอ็นเอ และเมื่อสัตว์ตัวเดียวกันที่กินโปรตีนจากนมวัวมากแล้วมีรอยโรค (foci) ที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกแล้ว ถ้าลดปริมาณลงก็รอยโรคที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกก็ลดลงตามไปด้วย แต่ถ้ากลับมาเพิ่มปริมาณการบริโภคโปรตีนจากนมวัวอีกก็รอยโรคที่ก่อให้เกิด เนื้องอกก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาอีกเช่นกัน
      
        2. การบริโภคโปรตีนจากพืช ทั้งจากข้าสาลี และถั่วเหลือง แม้จะใส่ปริมาณมากถึง 20% ให้เท่ากับเคซีนในโปรตีนของนมวัว พบว่าไม่เกิดรอยโรค (foci) ที่จะพัฒนากลายเป็นเนื้องอกได้
      
        3. มีการอ้างอิงศูนย์การแพทย์อิลลินอยส์ เมืองชิคาโก ในสหรัฐอเมริกา พบว่าการบริโภคเคซีน (โปรตีนจากนมวัว) ในหนูทดลองเพิ่มขึ้น เป็นการส่งเสริมทำให้เกิดมะเร็งเต้นนมมากขึ้น

      
        โรคต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นถ้าเกิดกับมนุษย์ก็จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและเห็นผลได้ดีด้านเดียวว่านมวัวทำให้ร่างกาย มนุษย์ใหญ่โตขึ้น
      
        ความจริงแล้วคนไทยสมัยก่อนไม่เคยดื่มนม เพิ่งจะมาเริ่มดื่มกันจริงก็ประมาณ 50-60 ปีมานี้เองที่ฝรั่งมาสอนและรณรงค์ให้ดื่ม และสมัยก่อนชาวสยามก็ได้รับโปรตีนและแคลเซียมจากอาหารอย่างอื่นโดยไม่ต้อง ดื่มนมวัว แต่เมื่อเริ่มดื่มนมวัวกันมากขึ้นก็ดูเหมือนว่าคนไทยเริ่มเป็นโรคเรื้อรัง มากขึ้น และบริษัทขายยาก็ขายได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
      
        จากบันทึกของนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ เรื่อง "หมอฝรั่งในวังสยาม" โดยหมอสมิธเป็นแพทย์ชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเป็นหมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
      
        "ชาวสยามไม่ดื่มนมวัวทุกรูปแบบ การเลี้ยงปศุสัตว์ทุกรูปแบบไม่เป็นที่รู้จักกันในเอเชียตะวันออก ชาวจีน ญี่ปุ่น และอันโดจีน ไม่เคยแตะต้องนมเลย ตั้งแต่หย่านม กระนั้นก็ตาม พละกำลังและความแข็งแรงของร่างกายโดยทั่วไป ไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป"
      
        คำถามชวนให้คิดต่อมาก็คืออะไรที่ทำให้ชาวสยามในอดีตมีพละกำลังแข็งแรงไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป โดยไม่ต้องดื่มนมวัว !?


Source: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000134270

เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ไม่ควรจะกินเนื้อสัตว์ !?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       ในทางธรรมชาติบำบัดแล้วต่างเห็นพ้องต้องกันเป็นส่วนใหญ่ว่าความ จริงแล้วมนุษย์ไม่เหมาะที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ และเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดโรคร้ายต่างๆเป็นจำนวนมาก
      
        ข้อทักท้วงที่ตามมาโดยทันทีก็คือแล้วเช่นนั้นถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์มนุษย์ก็จะ ขาดโปรตีนและไม่แข็งแรง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์สามารถหาโปรตีนได้จากถั่วและธัญพืชหลาย ชนิด เช่น ธัญพืชมีโปรตีน 8% - 12% ถั่วเหลืองมีโปรตีน 40% หรือ 2 เท่าของโปรตีนในเนื้อสัตว์ แม้แต่เนื้อสันในที่เชื่อกันว่าดีที่สุด ก็มีโปรตีนที่นำมาใช้ได้เพียง 20% เท่านั้น ในขณะที่ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆมีโปรตีน 30%

      
        เราจึงพบว่านักกีฬาที่มีชื่อเสียงในระดับโลกกินอาหารจากพืชเป็นหลักที่มี ไขมันต่ำแต่กลับทำให้ร่างการแข็งแกร่งมากขึ้น เช่น นักกรีฑาคาร์ล ลูอิส, นักเทนนิสชื่อดังมาตินา นาฟราติโลวา, นักมวลปล้ำระดับโลกอย่างคริสต์ แคมเบลล์ หรือนักวิ่งมาราธอน รูทส์ เฮลดริคช์ ฯลฯ
      
        หรือจะดูย้อนไปไกลกว่านั้นถึงความสำเร็จของนักกีฬาที่รับประทานอาหาร มังสวิรัติและทำสถิติโลกสำคัญ เช่น เมอร์เร่ย์ โรส นักกีฬาว่ายน้ำผู้ที่เคยได้รับ 4 เหรียญทองและทำลายสถิติโลกในกีฬาโอลิมปิค, เอ. แอนเดอร์สัน นักยกน้ำหนักที่ทำลายสถิติโลกหลายครั้ง หรือแม้แต่ จอห์นนี่ ไวส์ มูลเลอร์ ผู้ทำลายสถิติว่ายน้ำของโลกถึง 56 ครั้ง
      
        แต่สำหรับคนที่กินเนื้อสัตว์นั้นควรจะต้องตระหนักว่า สัตว์ที่ตกใจกลัวสุดขีดเพราะการถูกฆ่าจะมีสารพิษในร่างกายเกิดขึ้นโดยทันที เช่น การหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) และกรดยูริค (Uric Acid)ซึ่งขับออกมาด้วยความหวาดกลัวหรือได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ซึ่งภาวะความเป็นพิษเหล่านี้จะกระจายไปทั่วร่างของสัตว์และตกค้างอยู่ตาม เส้นเลือดและเนื้อเยื่อ และเมื่อย่อยสลายแล้วจะมีความเป็นกรดสูงในร่างกายมนุษย์
      
        และด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราได้สารแปลกปลอมในเนื้อสัตว์อีกมากมายเพื่อให้มนุษย์ได้มีความพึงพอใจกับ รูปลักษณ์ขอเนื้อสัตว์เหล่านั้น เช่น การใช้ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งให้สัตว์มีร่างกายเจริญเติบโตได้เร็ว การใช้ฟอร์มารีนเพื่อกันเน่าเสีย การใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อหลอกให้เชื่อว่าเนื้อมีความสดใหม่ แต่ประเด็นนี้แม้ในพืช ผัก และผลไม้ของไทยก็เต็มไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน (นอกจากประเทศไทยจะมีการปฏิรูปอาหารครั้งใหญ่)
      
        พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ หรือมีเครื่องปรุงที่กลบเกลื่อนเนื้อสัตว์ เราจะไม่สามารถไล่ล่าหรือกัดกินเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติได้เลย
      
        ในขณะที่คุณณรงค์ โชควัฒนา ซึ่งเป็นผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติมาหลายสิบปี ก็ให้ความเห็นว่าความจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้มีความอยากอาหารเมื่อเห็นสัตว์ที่ ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่เห็นซากสัตว์ หรือได้กลิ่นคาวเลือดจากเนื้อสัตว์ มนุษย์จึงต้องเปลี่ยนแปรสภาพด้วยการสับ บด ต้ม หรือทอดด้วยน้ำมัน และใช้เครื่องปรุงอาหารและเครื่องเทศเพื่อเปลี่ยนรสชาติกลบเกลื่อนเนื้อ สัตว์เหล่านั้นเสีย ให้กลายเป็นอาหารประเภทอีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น

      
        และหากจะพิจารณาลักษณะสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังในการแบ่งกลุ่มกินเนื้อ กินหญ้า และผลไม้แล้ว เราจะได้ข้อมูลเปรียบเทียบที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้
      
        สัตว์กินเนื้อจะมีเล็บงุ้มแหลมคมและแข็งแรงสำหรับการตะปบ แต่สัตว์กินหญ้าและใบไม้ ตลอดจนสัตว์กินผลไม้จะเล็บแบน ซึ่งมนุษย์ก็เล็บแบนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาลักษณะนิ้วและเล็บของมนุษย์แล้วเหมาะสำหรับการ เด็ดจับผลไม้หรือพืชเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้กับสัตว์ด้วย 2 มือเปล่าได้
      
        สัตว์กินเนื้อฟันหน้าจะแหลมคมเพื่อเอาไว้ฉีกเนื้อ และไม่มีฟันกรามด้านหลังสำหรับบดอาหาร สัตว์กินเนื้อจึงไม่ต้องบดเคี้ยวเอื้องและกินเร็วมาก ส่วนสัตว์ที่ไม่กินเนื้อทั้งสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ จะมีฟันหน้าไม่แหลมคมและมีฟันกรามด้านหลังสำหรับบดอาหารและใช้เวลานานกว่า ส่วนมนุษย์ไม่มีลักษณะฟันที่จะจัดกลุ่มกินเนื้อได้เลย
      
        นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำลายของสัตว์กินเนื้อตามปกติจะเป็นกรด และไม่มีน้ำย่อยทายลินสำหรับย่อยอาหารจำพวกข้าวในขั้นต้น อีกทั้งยังมีต่อมน้ำลายเล็กๆในปาก เนื่อจากไม่จำเป็นต้องย่อยอาหารประเภทข้าวหรือผลไม้ในขั้นต้น ในขณะที่ มนุษย์เหมือนสัตว์กินพืช ผัก ผลไม้ คือเมื่อสุขภาพดีน้ำลายจะเป็นด่าง มีน้ำย่อยทายลินเพื่อย่อยอาหารประเภทข้าว และมีต่อมน้ำลายที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยอาหารประเภทข้าว หรือผลไม้ในขั้นต้น
      
        ผิวหนังของสัตว์กินเนื้อจะมีความหยาบกระด้าง ไม่มีรูขุมขน คายน้ำโดยรู้ที่ลิ้นเพื่อให้ร่างกายเย็น ในขณะที่มนุษย์มีลักษณะเหมือนสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ คือ มีการขับเหงื่อโดยรุขุมขนนับล้านตามผิวหนัง
      
        ในกระเพาะอาหารสัตว์กินเนื้อจะมีกรดไฮโดรคลอริกอยู่มากเหมาะสำหรับย่อยกล้าม เนื้อ กระดูก และส่วนอื่นๆของสัตว์ และมีความเป็นกรดสูงกว่ามนุษย์ และ สัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ถึง 20 เท่า
      
        ลำไส้ของสัตว์กินเนื้อจะยาวเพียง 3 เท่าของร่างกายเท่านั้น เพื่อขับถ่ายเนื้อที่เน่าเสียออกได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มนุษย์เหมือนกับสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ คือ มีลำไส้ยาวกว่าร่างกายถึง 10-12 เท่า เพราะพืชและผลไม้จะเน่าเสียช้ากว่า จึงผ่านการย่อยและดูดซึมเข้าผ่านลำไส้ได้ตามปกติไม่มีความจำเป็นต้องเร่ง ถ่ายออก
      
        มนุษย์มีภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อ และมีลำไส้ที่ยาวกว่าด้วย ดังนั้นเมื่อกินอาหารเนื้อสัตว์มากจึงย่อยสลายเนื้อสัตว์ได้ยาก และเนื้อสัตว์เหล่านั้นนอกจากจะมีสารพิษแล้วเมื่อเน่าเสียได้เร็วแต่ขับถ่าย ออกผ่านลำไส้มนุษย์ได้ช้า คนที่กินเนื้อสัตว์มากจึงมักเป็นโรคท้องผูกเพราะเนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีกากไฟ เบอร์ทำให้การเคลื่อนไหวทางเดินอาหารเป็นไปอย่างช้ามาก เกิดความหมักหมมและก่อโรคมากในลำไส้ และก่อโรคอื่นๆตามมาในที่สุด

      
        วารสารการแพทย์อเมริกัน (The Journal of The American Medical Association) ได้เคยรายงานว่า "การกินอาหารมังสวิรัติสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ถึง 90% - 97%"
      
        อีกทั้งยังปรากฏรายงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับ ประทานอาหารในพืชและผักที่มีไฟเบอร์สูงและความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่ และเต้านมโดย โดย Eur J Cancer Prev ปี พ.ศ. 2541 พบว่าพบว่าการรับประทานผักผลไม้ สามาถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งอีกมากมาย รวมถึงผักและผลไม้ที่มีสารกากใยมากจะช่วยการลดมะเร็งลำไส้ใหญ่
      
        นอกจากนี้ในทางการแพทย์ยังพบอีกด้วยว่าการกินเนื้อสัตว์มากจะสั่งสมก๊าซ ไนโตรเจนในรูปของกรดยูริคมากเกินไป ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคไต เมื่อไตไม่สามารถกำจัดกรดยูริคออกจาร่างกายตามข้อต่อ หรือตามกล้ามเนื้อ ก็จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามข้อ เป็นโรคเก๊าท์ และโรคไขข้ออักเสบ
ยังไม่นับอีกหลายโรคที่มีสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับกินเนื้อ สัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวอยู่มาก เช่น โรคไขมันคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคนิ่วในไต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคเบาหวาน, โรคแผลในกระเพาะอาหาร, โรคนิ่วในถุงน้ำดี, โรคข้ออักเสบ, โรคเหงือก โรคสิว, โรคมะเร็งตับอ่อน, โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร, โรคกระดูกพรุน, โรคมะเร็งรังไข่, โรคริดสีดวง, โรคอ้วน, โรคหืดหอบ ฯลฯ
      
        ชาวฮันซ่า คือกลุ่มชนที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย และปากีสถาน เผ่าโอโตมี่ (ชนพื้นเมืองของเม็กซิโก) และชนพื้นเมืองในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา มีสุขภาพแข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย และโดยเฉลี่ยจะมีอายุยืนถึง 110 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้กินอาหารมังสวิรัติ
      
        ในขณะที่ชาวเอสกิโม ซึ่งกินเนื้อสัตว์และไขมันเป็นประจำ จะแก่เร็ว และมีอายุโดยเฉลี่ย 27 ปีครึ่ง และในบรรดาชาวเคอกิส คือชนชาติพเนจรในแถวตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก จะมีน้อยคนมากที่มีอายุเกิน 40 ปี

      
        นักวิทยาศาสตร์สำคัญในโลกหลายคนก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เบนจามิน แฟรงคลิน, ชาร์ลส์ ดาร์วิน, เลโอนาร์โด ดาวินชี, ปาสคาล, เซอร์ ไอแซค นิวตัน, ส่วนนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีชื่อเสียงและรับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
      
        อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ ได้เคยพูดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารมังสวิรัติว่า
      
        "ไม่มีอะไรที่จะได้ทำให้สุขภาพมนุษย์ได้รับประโยชน์และเพิ่ม โอกาสสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้มากเท่ากับการวิวัฒนาการของ การทานอาหารมังสิวิรัติ"
      
        ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
นักวิทยาศาตร์ไทยผู้คิดค้นและออกแบบ ระบบการลงจอดยานอวกาศไว้กิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และไวกิ้ง 3 ลงบนพื้นผิวดาวอังคารให้กับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า เป็นคนแรกและครั้งแรกของโลกโดยการหยั่งรู้จากการนั่งสมาธิ ได้ให้สัมภาษณ์ปรากฏในหนังสือ "แท้จริงแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช" เขียนโดย คุณชนาธิป วงศ์ธิกุล และบรรณาธิการโดย คุณศิริวรรณ เต็มผาติ ความบางตอนจากการสัมภาษณ์น่าสนใจมีดังนี้:
      
        "เราปลูกผักเยอะๆ มันก็ดูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมันก็ผลิตคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารให้กับ เรา และเราก็รับประทานเข้าไป เพราะฉะนั้นเราทานผัก เราลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถ้าเราทานเนื้อสัตว์ เราต้องเลี้ยงสัตว์ ซึ่งไม่เหมือนกันกับพืช สัตว์ไม่ได้เอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป แต่กลับเอาออกซิเจนไปใช้ แล้วคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา แถมยังผลิตก๊าซมีเทนเยอะมาก ซึ่งไม่ได้ช่วยโลกของเราเลย แต่ทานผัก เราปลูกผักเยอๆ โลกก็เย็นลงด้วยครับ...
      
        สัตว์ตอนโดนฆ่านี่ โอ้โฮ.. มันจะกลัว มันจะมีอารมณ์มันจะหลั่งสารเคมีต่างๆหลายอย่างซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพของ เรานะครับ แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดการยกระดับจิตใจ แต่ผักจะไม่มีปฏิกิริยาเหล่านี้ ตรงกันข้ามมันกลับมีความสุขครับ เพราะนี่คือวิธีการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติของมัน คือการ ที่เราไปเด็ดไปกินแล้วเราก็จะทิ้งเม็ด เม็ดก็คือเมล็ดที่งอกขึ้นใหม่ได้ นี่เป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ ต้นไม้ยินดีมากเลย เพราะเป็นวิธีการขยายพันธุ์ของเขา...ร่างกายของเราเจริญเติบโตก็ด้วยผัก ผักมันกลายเป็นเนื้อของเรา มันกลายเป็นอวัยวะของเรา มันได้กลายเป็นส่วนที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นพวกผักมันจะรู้สึกดี ผักไม่มีปฏิกิริยาเชิงลบ ผักไม่รู้สึกว่ามันโดนฆ่าหรืออะไรทั้งสิ้น มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ซึ่งมันเองก็มีความสุข ไม่เหมือนกับทานเนื้อสัตว์ ซึ่งจะมีปฏิกิริยาในทางลบแล้วก็สร้างความเสียหายให้กับเรา"
      
        จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาข้างต้น มนุษย์จึงควรเป็นสัตว์กินพืช และมนุษย์ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ !!!!

 Source: http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131186

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน

          ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี  ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่          
          จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?  มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน  
ประการ แรก คือภาวะจิตที่สงบสุข ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี
          พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้  แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก  แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ  กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม มองในแง่สรีระ
คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธิ์ิ์   ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายเท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่านหัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา”  
          ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดว่า ดุลยภาพแห่งโภชนาการหมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม (2) กินอาหารไม่สมดุล หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค

          อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร คำตอบคือ (1) เพื่อดำรงชีพ (2) เพื่อป้องกันโรค (3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน  

          แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน

ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4  ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ  คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด

          Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหารจีนโบราณก็มีคำกล่าวว่าใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายาแต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด

         
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่? เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็ เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน ตับชอบกินสีเขียว หัวใจชอบกินสีแดง ม้ามชอบกินสีเหลือง ปอดชอบกินสีขาว ไตชอบกินสีดำ คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
          แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น
ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง ม้ามมีปัญหา  สีหน้าจะออกเหลือง คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ ดังที่กล่าวแล้ว ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมาณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว? เพราะตำรายาจีนมีคำว่าคนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุขโภชนาการแผนจีนก็เน้นว่ากินไม่พ้นถั่ว” ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำ งานของรังไข่
         
ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ เปรี้ยวบำรุงตับ ขมบำรุงหัวใจ หวานบำรุงม้าม เผ็ดบำรุงปอด เค็มบำรุงไต หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่นรสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
         
กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจหมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า
          สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย  สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก

          ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน
อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา หมาย ความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
          ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้

          1.    หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว

          2.    เขียนข้อความก่อนถึงเก้าสิบเก้า ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาดติดไว้หน้าเตียง เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี

          ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกนยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99”
 

Source:

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Why Does Hair Turn Gray?



There is one thing most presidents have in common at the end of their first terms: more gray hairs. The graying of the Commander-in-Chief is symbolic of the stress associated with being top dog in the world's most powerful nation. However, research shows that psychological stress does not, in fact, impact the color of one's locks.
Photo: President Obama, Going Gray

For both presidents and the rest of us, gray hair is simply a part of the normal aging process, and the rate you go silver is genetically predetermined. Going gray is not associated with earlier mortality, and premature graying is not, generally speaking, a sign of a illness or ill health in younger adults. There are, however, some specific health conditions, such as vitiligo (an autoimmune disorder that causes uneven pigmentation) associated with gray or white hair, but for most of us, going gray is just a fact of life.

Related: Gray Hair's in Fashion, but What About at Work?
Hair color comes from the pigment melanin, which has two hues, blackish brown and reddish yellow—the amount and mix of each determines your individual shade. Hair without any melanin is pure white. The pigment is produced in cells called melanocytes, located at the base of the hair follicle. The melanocytes inject pigment into the hair. At some point in everyone's lifetime, these cells slow down and eventually stop producing color all together in what's called apoptosis, or genetically predetermined demise. Scientists have yet to identify the exact mechanism by which melanocyte cell death occurs.

Tips to Make Hair Color Last
A study of more than 4,000 women and men from 20 countries determined that about 75% of people between the ages of 45 and 65 have some gray hair. In general, people of European descent gray earliest followed by Asians and Africans. It's interesting to note that a lucky 1 in 10 has no gray hair by retirement age. Beginning at age 30, your chances of having gray hair go up 10-20% per decade.
It may feel like you sprout more grays in the wake of a stressful event, but that's probably because middle age is basically a series of anxiety-ridden events. Between working, raising kids, and caring for older parents, the "sandwich" years of 45-65 can be stressful, especially for women. They are also when we naturally start to look older.

In 2011, L'Oreal announced it was in the early stages of developing a pill that would prevent melanin reduction, but at this point, there is still no silver bullet to keep away the grays.

Source: http://shine.yahoo.com/beauty/why-does-hair-turn-gray-163000484.html

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

How Stress And Sleep Loss Are Shortening Your Life

by Melanie Haiken

Would you prioritize sleep if you knew it kept your immune system strong? That’s the question the American Academy of Sleep Medicine wants you to ponder this week. Lost in the hoopla surrounding Independence day was the publication of some eye-opening (or eye-shutting) research by the American Academy of Sleep Medicine showing that the immune system responds sharply to sleep loss.

In the study, intimidatingly named “Diurnal Rhythms in Blood Cell Populations and the Effect of Acute Sleep Deprivation in Healthy Young Men,” Researchers at the Erasmus MC University Medical Center in Rotterdam, the Netherlands, and the University of Surrey in the UK measured white blood cell counts in young men who sleep eight hours and men whose sleep was restricted, and found a spike in white blood cells, particularly those called granulocytes, released in response to immune system threat.
The researchers’ conclusion: Severe sleep loss jolts the immune system just as stress does (read on for more on stress).

Sleep Loss Quadruples Stroke Risk
In addition to shocking your immune system, lack of sleep also raises your stroke risk – even if you’re relatively young and healthy. New research, presented last month at SLEEP 2012, found that those who cut back their sleep to less than six hours of sleep a night are at 4.5 percent greater risk of having a stroke compared with those who slept 7 to 8 hours a night. Though researchers don’t know the exact mechanism, it seems that chronic lack of sleep causes inflammation, elevates blood pressure and heart rate, and affects glucose levels, leading to a much higher stroke risk in the sleep-deprived.

Most concerning, though, is that the 5,000+ people studied were healthy, middle-aged adults with a body mass index in the normal range — not those typically considered at high stroke risk. And their sleep loss wasn’t as extreme as in the immune study; these folks reported getting less than six hours of sleep a night – the amount that 30 percent of the American population reports getting.
For some tips on getting to sleep more easily, see 5 Foods to Help You Sleep

Stress Sabotages Your Immune System, Too
This isn’t news; study after study has shown that stress raises our risk of cancer, heart disease, allergies, and susceptibility to colds and flu. What’s new is that researchers at Carnegie Mellon think they now know how this works. The key, they say, is cortisol, the stress hormone released whenever we feel fear, worry, or anxiety. Cortisol is supposed to give us a jolt of energy, enabling us to react to and run away from the lion as it were. But it appears that when our systems are constantly bathed in cortisol, the body loses its ability to regulate inflammation.

Here’s how it works. Cortisol has a secondary function of controlling the body’s inflammatory response to immune system triggers. But over time, with constant exposure to stress and therefore cortisol, tissues become less sensitive to cortisol, releasing less of their anti-inflammatory substances. (A similar process occurs with diabetes, as chronically elevated insulin leads to insulin resistance.)
The Carnegie Mellon team, headed by Sheldon Cohen, ran two tests of this theory. First they exposed healthy adults to cold viruses, isolating and monitoring for five days afterwards. People who’d recently been under stress showed increased resistance to cortisol. In a second test, the researchers found that participants had higher numbers of cytokines, which trigger inflammation.

So what does it all mean? That when you get stressed out and stop sleeping, or stop sleeping well, you get sick. (Think back to college, when you’d get a horrible flu or even pneumonia or mono, right after finals were over.) That probably doesn’t seem that concerning; we’ve dealt with the post-all-nighter flu all our lives. But this year has also seen convincing research that the body’s immune response is key to protecting us from serious disease, such as cancer, and that inflammation is a key precursor to heart attack, stroke, diabetes, and other life-threatening diseases. In fact, ongoing research is underway to document the effects of stress and sleep loss on shortening lifespan.

Source: http://www.forbes.com/sites/melaniehaiken/2012/07/05/how-stress-and-sleep-loss-are-shortening-your-life/

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แผ่เมตตาให้ศัตรู

สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง : ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร ไม่ช้าก็เร็ว การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกันก็จะหมดไป

โดย ปิยโสภณ

คำนำ

การผูกอาฆาตพยาบาท จองเวร ให้ผลข้ามพบข้ามชาติ ถ้าเราเปรียบภพชาติ เหมือนคืนวัน การนอนหลับ เหมือนการตาย การตื่นจากหลับ เหมือนการเกิด ภพชาติก็ใกล้ตัวเราเข้ามา การผูกอาฆาตพยาบาท เหมือนการเข้านอนโดยไม่ได้อาบน้ำชำระร่างกาย หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น

ในแต่ละวัน จิตใจของเราเก็บเกี่ยวเฉี่ยวโฉบ อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา นินทา อาฆาตพยาบาท ขุ่นแค้น ขัดเคือง นานาชนิดเอาไว้ ถ้าไม่มีวิธีชำระใจ ก็จะเกิดสนิมใจขึ้นมา คนไม่อาจนอนได้อย่างมีความสุข หากไม่ชำระร่างกายฉันใด ใจที่ไม่ถูกชำระ จะทำให้ฝันร้าย อารมณ์หงุดหงิด หลับไม่สนิท ฉันนั้น

ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเล่มน้อยนี้ขึ้นมาจากเรื่องจริง ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อหนังสือนี้พิมพ์เผยแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนมากเข้ามาพูดคุยสนทนาด้วย บางคนบอกว่าอ่านแล้วทำให้ได้สติ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาจากต่างประเทศ มีสนิมใจเกิดขึ้นหมักหมมมานานกว่า ๒๐ ปี ไม่มีทางแก้ มันตามหลอกหลอนทุกอริยาบถ เข้านอน เข้าห้องน้ำ อารมณ์โกรธ เกลียดพยาบาทก็ยังตามหลอน ต้องถอนหายใจตลอดเวลา

ข้าพเจ้าแนะนำว่า เราต้องหาวิธีปลดปล่อยอารมณ์นั้นให้ได้ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องผูกอาฆาตพยาบาทใคร หรือให้ใครตามมาจองเวรเราข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า กาลข้างหน้า เราไม่ต้องมารองรับสู้รบกับใครอีกต่อไป แต่ทว่า การอโหสิกรรมให้แก่คนที่เรารัก...ทำได้ง่าย แต่คนที่เราชัง ทำได้ยาก...ถึงกระนั้น เราก็ต้องทำให้ได้

การ “แผ่เมตตาให้ศัตรู” ที่เขียนไว้นี้ พอเป็นแนวทางให้ท่านทั้งหลายฝึกปฏิบัติ เพื่อวันหน้า ภพหน้า เราจะได้ไม่มีใครเป็นศัตรูต่อไป เป็นการชำระใจของเราให้สะอาดทุกวันๆ เพื่อให้มั่นใจว่า แม้วันนี้เราจะต้องตายจากไป เราก็รู้สึกไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา ไม่มีหนี้กรรมเวรใดๆ จะต้องไปชดใช้กับใครในภพอื่นชาติโน้น ใจเราก็เป็นสุขสบาย ใจเขาก็เอิบอิ่มเป็นบุญ เริ่มต้นที่เรา มิใช่รอให้เขาเริ่มต้น เริ่มต้นวันนี้ มิใช่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้...เพราะพรุ่งนี้อาจไม่มีเรา

ขออนุโมทนาบุญและแสดงความยินดีกับท่าน ที่ได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มน้อยของข้าพเจ้านี้ ขอให้ท่านจงคิดว่า เราเกิดมาลงทุน แม้ยังไม่ได้กำไร...ก็อย่าให้ขาดทุนในชีวิต ขอจงเป็นผู้ปราศจากเวรภัยต่อกันทุกเมื่อ อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนกัน ขอจงอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ตลอดไปเถิด

เจ้ากรรมนายเวร คือ สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร
เราชอบกินหมู เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ หมู
เราชอบกินไก่ เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ ไก่
เราชอบกินเป็ด เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ เป็ด
แม้กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เรากินมาตั้งแต่เกิด กระทั่งถึงวันนี้ นับไม่ถ้วนว่ากี่ร้อยกี่พันชีวิต ก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งสิ้น

เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วน ล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น บางครั้ง เราคิดว่าเป็นของเราคนเดียว ไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขา เพื่อต่อชีวิตเราให้ยืนยาวออกไป เขาก็รู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขา บางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง เป็นต้นได้ บางทีก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอหาเหตุไม่พบ แต่พอแผ่เมตตากลับหาย

เรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ทุกครั้งที่เราไหว้พระสวดมนต์ ขอให้เราแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเป็นอาหาร การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริง ก็คือ แผ่ให้ตัวเรานั่นเอง การให้เขา คือ การให้เรา เพราะเขาอยู่กับเรา เขา คือ ร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อ มาเป็นพลังงานชีวิตเรา แม้ขณะที่เราอ่านหนังสือหรือทำอะไรอยู่ ก็มีพลังงานของเขา คอยสนับสนุนทุกส่วน การแผ่เมตตาทำได้ง่าย เพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ คิดถึงความดีของเขา ที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้ หลับตาน้อมจิตอธิษฐาน ขออย่าให้เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ให้มีความปลอดภัยในชีวิต การแผ่เมตตา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิต ที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยวางบนโต๊ะอาหาร รอคอยเรามาร่วมวงขบเคี้ยว ดูเหมือนเราไม่ค่อยคิดกันในเรื่องนี้ หากแต่มองเห็นทุกอย่างบนโต๊ะเป็นความอร่อย ทั้งๆ ที่ความจริง เรากำลังกินศพหมู ศพไก่ ศพเป็ด ศพวัว ศพกุ้ง ศพปู ศพปลา คิดดูเถิด คล้อยหลังจากเราอิ่มเพียงชั่วโมงเดียว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา หูฉลามที่เรากินเข้าไป ก็ถูกย่อยเป็นพลังงาน ส่วนกากอาหารก็เน่าเหม็น เป็นอันตราย กระทั่งเราต้องขับถ่ายออกมาทุกวันๆ เราอาจคิดไม่ถึงว่า เรากำลังกินสัตว์อื่น ชีวิตเราถูกเลี้ยงด้วยชีวิตของสัตว์อื่น

การกิน คือ การต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ ๓ เวลา แต่ละเวลา เราต้องรับประทานสัตว์อื่นหลายสิบชีวิต ขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง บางทีไข่ในท้องปลาที่เรากิน หากเขาได้เกิดมาเป็นตัว ก็คงเป็นปลาจำนวนมหาศาล แต่เราเคี้ยวกินเป็นกับข้าวเพียงคำเดียว การแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงความขอบคุณ และให้อภัยต่อกันและกัน ให้เขามีความรู้สึกว่า เขามีส่วนร่วมในชีวิตของเรา เหมือนเรายินดีต้อนรับแขก ที่เดินเข้ามาพักในบ้านเรา แขกก็จะรู้สึกอบอุ่น เพราะการตอนรับที่ดีของเจ้าบ้าน

ต่อมาก็มาถึงการแผ่เมตตาถึงคนที่เรารัก และคนที่เรารู้สึกว่า เขาเป็นศัตรูกับเรา คือ เรารู้สึกเกลียดชังเหลือเกิน ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากร่วมงานด้วย ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากเห็นหน้า โดยธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้ ยิ่งโกรธก็ยิ่งถูกแกล้ง เขาทำอะไรลงไป ดูเหมือนจะขัดใจขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเราตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว เพียงแต่เห็นก็เป็นทุกข์ เขาทำปากขมุบขมิบอยู่ไกล ไม่ได้ยินเสียง เรายังคิดว่าเขากำลังด่าเราได้ เราเป็นทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะจินตนาการ เป็นความผิดของเราเอง มิใช่ความผิดของเขา บางทีเขาก็แกล้งให้เราเป็นทุกข์ เพราะรู้ว่าให้ยาพิษแล้ว เรายินดีรับมาดื่ม เป็นความผิดของเราเอง เรากำลังจุดไฟภายในเผาเราเองต่างหาก

เป็นเรื่องน่าคิดว่า มนุษย์เราชอบมองหาความผิด ชอบจับเอาความผิด เค้นหาความผิดของคนอื่น ส่วนความผิดของตนกลับกลบเกลื่อน ไม่ค่อยจับถูก เมื่อจับผิด เขาจึงพลาดความดีตลอดเวลา อะไรที่เป็นขยะ จึงขนเข้ามากองในใจทั้งหมด สุดท้ายหัวใจของเขา ก็กลายเป็นกองขยะที่เน่าเหม็น มิใช่หิ้งบูชาที่งดงามอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ ปรับวิธีดำรงชีวิตเสียใหม่ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะ แต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน ด้วยการมองหาดีของคนให้พบ มองบวก คิดบวก พูดบวก เพราะการทำอะไรเป็นบวก จะทำให้ได้กำไร และใจสบาย ส่วนการมองลบ คิดลบ พูดในทางลบ นอกจากตัวเองเกิดทุกข์แล้ว ยังทำให้ผู้อยู่รอบตัวเราเป็นทุกข์ตามไปด้วย เราควรหลีกเลี่ยงคนที่คิดในทางลบ เพราะทำให้ชีวิตเราติดลบไปด้วย

การแผ่เมตตา คือ การคิดบวก พูดบวก มองหาดี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงหากฝึกให้เป็นนิสัย ก็เป็นเรื่องง่าย เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เราชอบใคร เราก็อยากไปหาคนนั้น เรารักใครมาก ก็อยากยกให้เขาหมด มีอะรก็ให้หมดได้โดยไม่รู้สึกเสียดาย แม้บางครั้ง เขาไม่อยากได้ เรายังอุตส่าห์ยัดเยียดให้เลย ถ้าพอใจ ภูมิใจ พอเขาไม่รับ ก็อาจเสียใจลึกๆ หาว่าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ยินดีตอนรับ จากรักก็พาล จะกลายเป็นร้ายไปได้ มาถึงคนที่เราเกลียดชัง เรื่องจะแบ่งใจให้ไม่มีอยู่แล้ว เรื่องง่ายก็มักเป็นเรื่องยากเสมอ จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาที่แยบคาย

โดยธรรมชาติมนุษย์ เกลียดชังใคร แม้แต่เงา เราก็ไม่อยากเห็น มีอะไร ก็ไม่อยากให้ เราไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น ต้องการเดินคนละเส้นทาง ห่างได้ยิ่งดี แต่เขาลืมคิดไปว่า ทางอารมณ์เราหนีตัวเองไม่ได้ ยิ่งเดินหนีก็ยิ่งวิ่งตาม อารมณ์โกรธเกลียด ก็มักจะวิ่งตามขนาบเราไป บางทีก็วิ่งข้ามภพข้ามชาติไปกับเรา ก่อเหตุร้ายไม่สิ้นสุด ยุติพยาบาทในชาตินี้ให้ได้ แผ่เมตตาให้ อโหสิกรรมกันให้ได้ในชาตินี้

จะมีใครคิดบ้างว่า ศัตรูบางคน ตั้งความปรารถนาขอไปเกิดเป็นลูกของเราก็มี เพื่อจะได้เผาผลาญจิตใจของเราให้ถึงที่สุด เช่น ลูกบางคนเกิดมา เพื่อผลาญทรัพย์สินสมบัติของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เกิดทุกข์ สอนไม่ได้ บอกไม่ฟัง ทำให้พ่อแม่นอนเป็นทุกข์ กินไม่ได้ ไม่เคยมีความภูมิใจในลูก มีแต่ความกลัดกลุ้มใจ บางคนพ่อแม่ถึงขนาดตัดขาดจากความเป็นพ่อแม่ลูกกันก็มี สิ่งเหล่านี้ เราต้องมองให้ออก และหาวิธีแก้ต้นเหตุที่ระบบความคิดของเราให้ได้ แต่ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่คนเราชังใครมากๆ มักจะต้องได้เกี่ยวข้องกับคนนั้น ไม่อยากเห็นหน้าใคร ก็มักจะได้เห็นเขาอยู่บ่อยๆ ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้ ถึงขนาดบางคนต้องมาอยู่เป็นคู่ชีวิตก็มี

กรรมเวรมีจริง ผลของการอาฆาตพยาบาท ให้ผลร้ายขนาดนี้ อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พลังงานความคิดที่เรา ไม่ยอมปลดปล่อยอารมณ์ออกไปนั้นเอง เป็นเหตุ สังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า เราคิดเกลียดเมื่อใด ก็เท่ากับเราทาสีลงบนผ้า ที่สีกำลังจะเลือนหายไป เราคิดโกรธเมื่อใด เท่ากับเราตอกย้ำให้เกิดความคมชัดทางความรู้สึกขึ้นมาอีกเท่านั้น เป็นการเติมมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ที่มีต่อคนๆ นั้น ให้คงเหลืออยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ใกล้จะเลือนหายไปแล้ว คนเราชอบพูดถึงคนที่เราเกลียด เมื่อพูดบ่อยๆ อารมณ์นั้นก็จะฝังแน่นในใจ แม้ไม่ปรารถนาจะเก็บความไม่ดีของคนนั้นไว้ เขาหารู้ไม่ว่า นั่นคือ การนำขยะที่เน่าเหม็นมาเก็บไว้ในใจตัวเอง ในที่สุด ใจเราก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกลียด อารมณ์เน่าเฟะอยู่ในใจเรา พึงจำไว้ว่า คนที่เราเกลียดชังหรือโกรธแค้น หยุดพูด...ก็หยุดคิด หยุดคิด...ก็เลือนหาย เพียงแต่เราอดใจไม่ได้ มักย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำพูด สติเราไม่พอกับความรุนแรงของอารมณ์

การยับยั้งชั่งใจไม่เข้มแข็ง จึงต้องเหยียบย่ำทำกรรมในใจตัวเอง ขอให้สังเกตดูให้ดี เรื่องนิดเดียวสามารถบานปลาย ได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว บางทีเราพูดนิดเดียว แต่คนฟังนำไปขยายต่ออีกสิบ พูด ๒ ครั้ง ก็นำไปขยายต่ออีกนับไม่ถ้วน ความเกลียดชัง อาจเริ่มต้นจากจุดนิดเดียว แต่กลายเป็นเชื้อไวรัสมากมาย เพราะคำพูดของเรา เพราะปากของเราเอง เพราะเห็นแก่ความสนุกปาก การปรับทุกข์ในบางครั้ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการเติมเชื้อเพลิงความทุกข์ ให้ตัวเอง เติมเชื้อแห่งความอาฆาตพยาบาท ลงไปในจิตใจเราเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาให้ถูกต้อง คือ แผ่ให้ถึงศัตรูให้ได้ เพื่อให้ความเป็นศัตรูในใจเขาและเราหมดไปจากกัน ยุติบทบาทกรรมข้ามภพข้ามชาติให้ได้ ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอน ให้เราแผ่เมตตาด้วยการใช้คำว่า “สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง” คำนี้มีนัยที่สำคัญมาก นั่นคือ ทรงสอนให้เราแผ่เมตตาให้ถึงศัตรูได้ โดยไม่รู้สึกติดขัด ให้คิดว่าคนทุกคนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มาเยือนโลก ชาติชั้นวรรณะ เขาสมมติเรียกให้ เผอิญเกิดบนแผ่นดินไทย ก็เรียก คนไทย หากเกิดที่จีน ก็เรียก คนจีน เกิดญี่ปุ่น ก็เรียกว่า คนญี่ปุ่น แต่ความเป็นคนเป็นสัตว์เท่ากัน มีความเสมอกันในการได้ชีวิต

จริงๆ แล้ว เราก็อยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน...ก็ต้องจากโลกนี้ไปทั้งนั้น การมาเกิดจึงไม่ต่างจากการมาเที่ยว เมื่อวีซ่าหมดอายุ ก็ต้องรีบกลับ ถ้าเราคิดกว้างๆ ได้อย่างนี้ คือ คิดว่าทุกคนเป็นเพียงสรรพสัตว์เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรู ใจของเราก็จะรู้สึกสบายขึ้น เบาโปร่ง หายใจโล่ง เราก็เริ่มจะแผ่เมตตาได้ ธรรมดามนุษย์เรา เวลาแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก พลังจิตจะถูกดึงออกไปอย่างแรง เหมือนเทน้ำลงไปในที่ลุ่ม น้ำจะใหลลงไปที่ลุ่มอย่างรวดเร็ว ส่วนการส่งกระแสจิตแผ่เมตตาไปให้คนที่เราเกลียดชัง เหมือนเทน้ำให้ไหลไปที่ดอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ อารมณ์ที่ส่งไปถึงคนที่เราเกลียด จึงมักจะติดขัด เพราะพลังจิตไม่ยอมเดินทาง เนื่องจากมีความคิดว่า จะแผ่เมตตาให้ศัตรูทำไม ในเมื่อเขาทำเราเจ็บ เมื่อคิดเพียงเท่านี้ คนที่เป็นศัตรู ก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ต่อไป และอาจเพิ่มความเป็นศัตรูมากขึ้นทุกครั้ง

ที่แผ่เมตตาให้คนที่รารักเราชอบ เหมือนมีเด็กสองคนยืนอยู่ต่อหน้าเรา คนหนึ่งเรารักมาก อีกคนเราไม่รักเลย เวลายื่นของให้เด็ก เรายื่นให้เฉพาะเด็กที่เรารัก ไม่ยื่นให้คนที่เราชัง เด็กก็รู้สึกต่างกัน ทุกครั้งที่เรายื่นของให้เด็กที่เรารัก ก็จะเพิ่มความเกลียดชังในใจของเด็กอีกคน การอิ่มครั้งที่สองของเด็กคนหนึ่ง ย่อมหมายถึงความหิวทวีคูรของเด็กอีกคน วิธีแผ่เมตตา ท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่า เป็นคนที่เรารักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่า เป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ร่วมโลกเดียวกัน

ทุกชีวิตเป็นเพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เท่านั้น การคิดเช่นนี้ เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลกันก่อน ปรับให้ถึงธาตุเดิมของชิวิต ยกเชื้อชาติศาสนาวัฒนธรรมเผ่าพันธุ์ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสุดโต่งทั้งรักและชัง เหมือนกับการปรับพื้นดินไม่ให้สูงหรือต่ำ แต่ปรับให้พื้นทุกตารางนิ้วได้ระดับเดียวกันหมดเสียก่อน แล้วจึงเทน้ำลงไป น้ำที่เทลงไปก็จะกระจายไปทุกพื้นที่ได้ง่าย ที่ดอนก็ไม่มี ที่ลุ่มก็ไม่เกิดขึ้น การแผ่เมตตาก็เช่นเดียวกัน การแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดทำได้ยาก แต่จำเป็นยิ่งกว่าแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก เพราะปัญหาอยู่ที่ความรู้สึกเป็นศัตรู มิใช่ความรู้สึกรัก ยิ่งเกลียดมากยิ่งต้องใช้พลังจิตสูง แต่ถ้าทำได้แล้ว ก็สบายใจไปตลอดชีวิต อาจจะยากเพียงครั้งแรกครั้งเดียว...ครั้งต่อไปก็ง่าย ยิ่งเราได้ปฏิบัติเป็นประจำจนเคยชิน...ของยากก็เป็นของง่าย ทุกอย่างก็ถือเป็นปกติ ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง และความรู้สึกเป็นศัตรูหรือโกรธเกลียด อาฆาตพยาบาท...ก็จะหมดไป ก็จะเลือนหายไปจากใจเรา...กระทั่งหมดสิ้น ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร...ไม่ช้าก็เร็ว การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกัน...ก็จะหมดไป ทุกชีวิตก็จะปลอดจากภัยเวรในสงสารวัฏ เกิดภพใดชาติใด ก็จะพบแต่คนดี มีคนอุ้มชูช่วยเหลือ จะทำให้มีครอบครัวดี มีลูกดี มีรูปสมบัติ มีสติปัญญาดี เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่ “ทำใจดี” ให้ได้ในวันนี้

ที่มา : คุณ Ratha http://larndham.net/index.php?showtopic=23678