วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การนอนหลับ วิธีบำรุงรักษาพลังหยางที่ดีที่สุด(睡觉是养护阳气最好的办法)

พลังหยาง (阳气) คือพลังของชีวิต ในวัยเด็กพลังหยางค่อยๆ สะสมตัว เด็กเจริญเติบโตมีพละกำลังคล่องแคล่วว่องไว ไม่เหนื่อยง่าย จนพลังหยางสูงสุดในวัยหนุ่มสาว และเข้าสู่วัยกลางคน พลังหยางก็เริ่มถดถอยลดน้อยลง ร่างกายก็ไม่กระฉับกระเฉง ความคิดอ่าน ความจำ ความว่องไวทางประสาท สมอง ก็ลดลงเรื่อยๆ ถึงวัยชราภาพ พลังหยางน้อยลงไปอีกและหมดไปในที่สุดพร้อมกับการดับลงของชีวิต เป็นวัฏจักรของการเกิด พัฒนา เสื่อมถอย และการตาย
การบำรุงพลังหยางจึงมีความสำคัญต่อชีวิต เพราะเป็นตัวกำหนดการเกิด พัฒนาและการเสื่อมถอยของร่างกาย ยังรวมถึงโอกาสการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ของร่างกายและจิตใจด้วย
ก่อนจะไปศึกษาค้นคว้าหาสิ่งภายนอกมาบำรุงรักษาพลังหยาง ควรกลับมาพิจารณาวิธีการที่เป็นธรรมชาติและประหยัดที่สุด ที่เราสามารถกำหนดและปฏิบัติได้เอง คือ การนอนหลับช่วงเวลาจื่อสือ (子时觉) ระหว่างเวลา ๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น.

การเกิดของพลังหยาง เริ่มต้นที่เวลา ๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น.ช่วงพลังลมปราณไหลผ่านเส้นลมปราณถุงน้ำดี
กลางคืนพลังยินมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงคืน ระหว่างเวลา ๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น. คือช่วงเปลี่ยนผ่านจากพลังยินสูงสุด และการก่อเกิดพลังหยาง พลังหยางจะเก็บสะสมได้มากในภาวะที่สงบที่สุด การตื่นนอนหรือยังไม่หลับ เป็นการใช้พลังหยางทำให้การเกิดสะสมตัวของพลังหยางถูกรบกวน ไม่สามารถสะสมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงสต็อกพลังหยางที่จะถูกนำไปใช้ในวันใหม่จะน้อยลง ส่งผลเสียต่อการทำงานในช่วงกลางวันของวันใหม่ ทำให้เหนื่อยง่าย ง่วงนอน หมดพลังเร็ว งานไม่มีประสิทธิภาพ
การนอนตื่นสายจนไปถึง ๑๐.๐๐ น. หรือเที่ยงวัน จะเป็นการทำลายร่างกายซ้ำเติมอีกทางหนึ่ง เพราะช่วงที่พลังหยางของธรรมชาติกำลังโตเต็มที่ พลังหยางของร่างกายก็ออกสู่ภายนอกของร่างกาย แต่การนอนหลับเป็นความพยายามเก็บหยางไว้ในตัวต่อไป ภาวะเช่นนี้จึงฝืนกับกฎของธรรมชาติ จะทำให้เกิดโรคระยะยาว
พลังหยางพร่อง ถูกทำลายด้วยหลายปัจจัย
- การดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ น้ำแข็ง
- การหยุดนิ่งมากเกินไป ไม่เคลื่อนไหว
- การถูกความเย็นจากเครื่องปรับความเย็นนานเกินไป
- การนอนบนพื้นปูนที่เย็น
- การทำงานที่ตรากตรำเหนื่อยล้าเกินไป
- ความเครียดสะสม
- การนอนไม่หลับตอนกลางคืน นอนดึก ทำงานตอนกลางคืน
การนอนหลับในช่วงพลังหยางเริ่มเกิด (๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น.) จะทำให้ไม่รบกวนการเกิดและสะสมตัวของพลังหยาง
คนที่นอนดึกเลยเวลาช่วงนี้นานๆ จะเกิดความเคยชิน รู้สึกไม่ค่อยง่วงนอน และการนอนหลับจะยากขึ้น เพราะพลังหยางเริ่มเกิดมากขึ้นแล้ว ในที่สุดจะเกิดโรคนอนไม่หลับตามมา

นอนดึกเกิดโรคอ้วน
นอนดึกเลย ๒๓.๐๐ น. จะทำให้รู้สึกหิว (พลังหยางเริ่มเกิด) อยากอาหาร ถ้ากินอาหารมื้อหนักเข้าไปอีก จะยิ่งทำให้พลังหยางไม่สามารถสะสม ต้องถูกนำมาใช้ในการย่อยอาหาร ซึ่งการย่อยก็จะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะพลังสำรองยังน้อย และการหลั่งน้ำดีถูกปิดกั้น (ทำงานน้อย)อาหารจึงไม่ถูกย่อย ทำให้เกิดโรคอ้วน ขณะเดียวกันการสะสมพลังสำหรับวันรุ่งขึ้นก็น้อยลงไปด้วย

นอนดึกสมองไม่ปลอดโปร่ง
พลังของถุงน้ำดีที่ดี มีผลต่อการตัดสินใจ ประสิทธิภาพของสมอง (胆为中正之官,主决断) หมายความว่า ถ้าช่วงเวลาจื่อสือ พลังของถุงน้ำดีเสริมสร้างได้ดี ตื่นนอนขึ้นมาสมองจะสดใส (胆有多清,脑有多清) การทำงาน การเรียนรู้ การตัดสินใจจะฉับไว ปลอดโปร่ง

นอนดึกทำให้ระบบการย่อยไม่ปกติ
“การทำงานของอวัยวะภายในชี้ขาดที่ถุงน้ำดี” (凡十一脏,取诀于胆也) ระบบย่อยอาหาร (ม้ามหรือกระเพาะอาหาร) ก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ข้อนี้
ตับเป็นโรงงานสร้างน้ำดี ถุงน้ำดีเป็นคลังเก็บน้ำดี การย่อยอาหารที่ดีต้องอาศัยพลังของถุงน้ำดีในการขับเคลื่อนน้ำดีสู่ลำไส้เล็ก ถ้าพลังถุงน้ำดีไม่สมบูรณ์ หรือคนที่ถูกตัดถุงน้ำดี การสำรองน้ำดีและขับน้ำดีไม่ดี น้ำดีจะถูกไหลทิ้ง เมื่อเวลากินอาหารเข้าไป จำนวนน้ำดีที่ขับออกมาช่วยการย่อยก็น้อย ทำให้ระบบการย่อยดูดซึมอาหารมีปัญหา
การหลีกเลี่ยงการกินอาหารตอนดึก และนอนให้หลับสนิทในช่วงเวลา ๒๓.๐๐-๐๑.๐๐ น. จึงเป็นการเสริมสร้างพลังของถุงน้ำดี


วิธีการเสริมสร้างพลังหยางที่ง่ายและประหยัด
๑. เตรียมตัวนอนก่อน ๒๓.๐๐ น. คนที่หลับยากหน่อยอาจเข้านอน ๒๒.๓๐ น. คนที่หลับง่ายอาจนอนเวลา ๒๒.๕๐ น. พยายามให้หลับในช่วงประมาณ ๒๓.๐๐ น. และหลับสนิทในช่วง ๐๑.๐๐-๐๓.๐๐ น.
๒. ไม่ควรกินอาหารหลัง ๒๓.๐๐ น. เพราะถุงน้ำดีจะไม่ทำงาน ในการขับน้ำดีโดยเฉพาะหลัง ๒๓.๐๐ น.ไปแล้ว และมักจะเกิดอาการหิว (หยางเริ่มเกิด) และคนมักจะตาสว่างไม่ค่อยง่วงนอน
๓. ถ้ามีงานมากควรหลับก่อน ๒๓.๐๐ น. แล้วตื่นเช้า ตี ๔-๕ มาทำต่อ จะได้งานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการนอนตี ๑ ตี ๒
๔. ตื่นนอนแต่เช้า มารับพลังแสงด้วยอาทิตย์ สรรพสิ่งในโลกนี้เติบโตและดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังหยาง ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างรับพลังแสงอาทิตย์เข้าสู่ร่างกาย ไม่ควรนอนตื่นสาย เพราะจะไปกดพลังหยางที่จะเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก และไปกดการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่กำลังเริ่มทำงาน
๕. ควรกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ด้วยการดื่มน้ำ ๑-๒ แก้ว ตอนตื่นนอน ๐๕.๐๐-๐๗.๐๐ นาฬิกา เพื่อให้ลำไส้เริ่มทำงาน ถุงน้ำดีเริ่มอุ่นเครื่อง และต้องกินอาหารมื้อเช้า

Source: http://www.doctor.or.th/node/11261

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เข้าวัดให้เป็น

โดย พระชยสาโร

ถ้าหากเราไม่คิดทำความเข้าใจกับตัวเอง ไม่สนใจว่าชีวิตมัน คือ อะไรกันแน่ ไม่อยากพัฒนาตน การเข้าวัดก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนคนไม่สบายไปรพ. เพื่อบริจาคทรัพย์บำรุง รพ.โดยไม่คิดรักษาโรคของตัวเอง เพราะยังไม่เจ็บมากก็เลยเสียดายเวลา

โรคของเรา คือ ความทุกข์ สาเหตุสำคัญ คือ การไม่รู้จักตัวเองก็ถูกหลอกง่าย พร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาทั้งหลายอยู่เสมอ มัวแต่ดิ้นรนเพื่อจะได้สิ่งที่ชอบ และเลี่ยงสิ่งที่ไม่ชอบอยู่เสมอ เชื่องมงายในร่างกาย และจิตใจว่าเป็นเราเป็นของเรา
ก็ย่อมไม่เห็นความไม่เที่ยงและความไม่มีเจ้าของของชีวิต

การปฎิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้ การทำบุญอย่างเดียวไม่ปฎิบัติถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหนี่ยวอยู่ในใจบ้างแต่มันไม่มั่นคง ลึกๆแล้วเราจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็กๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่ มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง

ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้ หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ ไม่ใช้ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ ศาสนา
ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาเป็นเครื่องชำระ วัดอยู่ได้เพราะน้ำใจของญาติโยม ลูกศิษย์หลวงพ่อชารังเกลียดการเรี่ยไรที่สุด จึงอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยมโดยแท้
การช่วยทางปัจจัยสี่สำคัญเหมือนกัน

แต่พระที่ดีท่านไม่ยินดีในเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านยินดีที่สุด ชอบที่สุด คือ การเห็นผู้ครองเรือนตั้งใจปฏิบัติธรรม
ไปวัด ไม่ว่าเพื่อทำบุญสุนทาน ไหว้พระกราบนมัสการครูบาอาจารย์ หรือไปจำศีลปฏิบัติธรรม พยายามระลึกอยู่เสมอว่า
จุดประสงค์ของเรา ควรอยู่ที่ความดีความสงบและปัญญา ระวังอย่าวุ่นบุญก็แล้วกัน หรือร้ายกว่านั้น

อย่านั่งในโรงครัวทานอาหารคุยเรื่องทางโลก วิจารณ์เรื่องการบ้านการเมือง พรรคไหนดี พรรคไหนเลว หรือนินทาลูกเขยลูกสะใภ้ อย่าคุยในเรื่องใดที่เพิ่มกิเลสในใจทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง หรือพูดให้ชาววัดแตกแยกกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายเวลาที่สละเข้าวัด เรียกว่าเข้าวัดแต่ไม่ถึงวัด ฉะนั้นมาถึงที่ร่มเย็นอย่าให้มันร้อน

ต้องฝึกให้เย็นสิ ตัวเราจึงจะเหมาะกับสถานที่ ให้น้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่ใจเรา สำรวมกาย วาจา ใจ หาอุบายแก้ข้อบกพร่องที่อยู่ในใจ เสริมสร้างสิ่งที่ดีงามอย่างนี้คือการเข้าวัดที่เข้าท่า ได้ทั้งวัตรปฏิบัติ ได้ทั้งเครื่องวัดตัวเอง

ในพระพุทธศาสนา วัดเป็นสถานที่สำคัญ แต่ศาสนาที่แท้ไม่ติดอยู่ที่สถานที่ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เรา อยู่ที่เราแต่ละคน แผ่นดินไหว หรือผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาวางระเบิดหน้าพระประธานวัดป่านานาชาติ จนวัดเหลือแต่หลุมลึก ผู้ที่ยังเหลืออยู่ ต้องอดทน อย่าพึ่งโกรธ ศาสนาก็ไม่ได้สูญหายไปกับวัตถุ ชาวพุทธเราควรสร้างวัดให้พอดีแก่กิจของสงฆ์ และช่วยท่านรักษาสิ่งที่สร้างแล้วอย่างดี แต่อย่าพึงลืมว่าวัดเป็นแค่สิ่งที่เอื้อต่อการศึกษาและปฏิบัติธรรม
การสร้างศาสนวัตถุก็ได้บุญอยู่หรอก ได้บุญเยอะ แต่ยังไม่ใช่บุญชั้นเยี่ยม คือการสงบจากกิเลส ยังไม่ถึงสิ่งสูงสุดที่เราควรได้รับจากการเป็นชาวพุทธ วัตถุเป็นฐานของการเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา

จาก หนังสือ "ทำไม" โดย ท่านชยสาโร


Source: http://www.kanlayanatam.com/Myimage-index/chayasaro.htm

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ไม่ขับถ่ายตอนเช้าจะเกิดอะไรขึ้น?

การขับถ่ายมีผลต่อสุขภาพร่างกายของเรา ทราบไหมว่า ถ้าปล่อยเวลาล่วงเลยมาจนถึง 7-9 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาทำงานของกระเพาะอาหาร แล้วยังไม่ได้ขับถ่าย แถมอาหารเช้าก็ไม่ได้กิน จะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถึงเวลาที่กระเพาะอาหารทำงาน เพื่อนำอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วไม่มีอาหารที่ควรทานตอนเช้าเข้าไปย่อย อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ มาที่กระเพาะอาหาร ในอุจจาระเก่าพวกนี้จะมีแก๊สที่เสียแล้ว แก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดไม่สะอาด เมื่อเลือดเหล่านี้ไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ร่างกายก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษเหล่านี้ไปด้วย

ผลกระทบที่มีต่อร่างกายก็คือ ก่อนเที่ยงถึงบ่ายจะง่วงนอน เนื่องจากหัวใจได้รับเลือดที่ไม่สะอาดไปหล่อเลี้ยง จึงอ่อนล้าและไม่สดชื่น และจะมีกลิ่นตัวและกลิ่นปาก เพราะปอดจะขับสิ่งสกปรกที่ได้รับออกทางผิวหนังและลมหายใจ

หรือถ้าไม่ ยอมขับถ่ายในตอนเช้าให้เป็นกิจวัตรนานๆ เข้า เป็นระยะเวลาหลายปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง แถมยังไม่ทานอาหารเช้าในช่วงเวลานั้นอีก สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

รู้อย่างนี้แล้ว ควรฝึกการขับถ่ายในตอนเช้าให้เป็นลักษณนิสัย และเห็นความสำคัญของอาหารเช้า เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง.

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=134903&categoryID=424

ธรรมะ อินเทรนด์ : มรณานุสติ : สบตากับความตาย (1)

เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 13 เมษายน 2554

ในขณะที่ความตายเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับผู้ที่จะต้องเผชิญ และเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับญาติวงศ์ซึ่งยังอยู่ กระทั่งเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่ประหวั่นพรั่นพรึงไม่อยากพูดถึง ไม่อยากพานพบ และไม่ปรารถนาจะให้มาถึงตนเร็วเกินไป แต่พระพุทธศาสนากลับมีท่าทีตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราชาวพุทธฝึก “สบตากับความตาย” เอาไว้เสมอ เพราะมีแต่การเรียนรู้ที่จะสบตากับความตายเท่านั้น ที่เราจะสามารถอยู่เหนือความตายได้

ในพระไตรปิฎกมีพระพุทธวัจนะจำนวนมากที่แนะนำให้ชาวพุทธฝึกสบตากับความตาย ลองพิจารณาข้อความดังต่อไปนี้ก็จะพบว่า ศิลปะการสบตากับความตายนั้น มีว่าอย่างไร (สำนวนแปลโดยพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต)

“อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย สัตบุรุษพึงดูหมิ่นอายุที่น้อยนั้น, พึงประพฤติเหมือนถูกไฟไหม้ศีรษะ, การที่มัจจุราชจะไม่มาหานั้น เป็นอันไม่มี. วันคืนย่อมล่วงไป ชีวิตก็หดสั้นเข้า, อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมหมดสิ้นไป เหมือนดังน้ำค้างในธารน้ำน้อย”

“ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีใครรู้ ทั้งยาก ทั้งน้อย และคนละคนด้วยทุกข์ ความเพียรพยายามที่จะช่วยให้สัตว์ที่เกิดมาแล้วไม่ต้องตายนั้น ไม่มีเลย, แม้อยู่ได้ถึงชรา ก็ต้องตาย, เพราะสัตว์ทั้งหลายมีธรรมดาอย่างนี้เอง”

“ผลไม้สุกแล้ว ก็มีผลิตตลอดเวลา จากการที่จะต้องร่วงหล่นไป ฉันใด, สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ก็มีผลิตตลอดเวลาจากการที่จะต้องตาย ฉันนั้น ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้วทั้งหมด ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุด ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู มีมฤตยูที่ไปเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งหมด”

“เมื่อคนเขาเหล่านั้น ถูกมฤตยูครอบเงาแล้ว ต้องไปปรโลก, บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ ญาติทั้งหลายจะป้องกันเหล่าญาติไว้ก็ไม่ได้. ดูเถิด ทั้งที่หมู่ญาติกำลังมองดูพร่ำรำพันอยู่ด้วยประการต่าง ๆ ผู้จะต้องตาย ก็ถูกพาไปแต่ลำพังคนเดียว เหมือนโคที่เขาเอาไปฆ่า”

“โลกถูกความแก่และความตายบดขยี้อย่างนี้เอง, ปราชญ์ทั้งหลายรู้เท่าทันกระบวนความเป็นไปของโลกแล้วจึงไม่เศร้าโศก”

“ท่านไม่รู้ทาง ไม่ว่าของผู้มา หรือของผู้ไป, เมื่อมองไม่เห็นปลายสุดทั้งสองด้าน จะคร่ำครวญไปก็ไร้ประโยชน์. ถ้าคนหลงไหลคร่ำครวญเบียดเบียนตนเองแล้วจะทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นมาได้ บ้างแล้วไซร้, ท่านผู้มีจิตวิญญาณก็คงทำอย่างนั้นบ้าง”

“การร้องไห้หรือโศกเศร้า จะช่วยให้จิตใจสงบสบาย ก็หาไม่, มีแต่จะเกิดทุกข์ทับทวี ทั้งร่างกายก็พลอยจะทรุดโทรม จะเบียดเบียนตัวเองของตัวเอง จนกลายเป็นคนซูบผอมหมดผิวพรรณ. ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะอาศัยการร้องไห้คร่ำครวญนั้นเป็นเครื่องช่วยตัวเขา ก็ไม่ได้, การคร่ำครวญร่ำไห้จึงไร้ประโยชน์. คนที่สลัดความโศกเศร้าไม่ได้มัวทอดถอนใจถึงคนที่ตายไปแล้ว ตกอยู่ในอำนาจความโศกเศร้า ก็มีแต่จะทุกข์หนักยิ่งขึ้น”

“ดูสิ ถึงคนอื่น ๆ ก็กำลังเตรียมจะเดินทางกันไปตามกรรม. ที่นี่ ประดาสัตว์เผชิญกับอำนาจของพญามัจจุราชเข้าแล้ว ต่างก็กำลังดิ้นรนกันอยู่ทั้งนั้น”.

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=132476&categoryID=671

ธรรมะอินเทรนด์:มรณานุสติ:สบตากับความตาย(2)

เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 20 เมษายน 2554

“คนทั้งหลายคิดหมายไว้อย่างใด ต่อมากาลก็กลับกลายไปเป็นอย่างอื่น.ความพลัดพรากจากกันก็เป็นอย่างนี้แหละ. ดูเถิดกระบวนความเป็นไปของโลก แม้จะมีคนอยู่ได้ถึงร้อยปีหรือเกินกว่านั้น เขาก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ต้องทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้อยู่ดี.

“เพราะฉะนั้น สาธุชนสดับคำสอนของท่านผู้ไกลกิเลสแล้ว พึงระงับความคร่ำครวญรำพันเสีย. เห็นคนล่วงลับจากไปก็ทำใจได้ว่าผู้ล่วงลับไปแล้ว เราจะขอให้เป็นอยู่อีกย่อมไม่ได้. ธีรชน คนฉลาด มีปัญญาเป็นบัณฑิต พึงระงับความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นแล้วได้โดยฉับพลัน เหมือนเอาน้ำดับไฟที่ลุกลาม และเหมือนลมพัดปุยนุ่น”

“ผู้ใฝ่สุขแก่ตัว พึงระงับความคร่ำครวญรำพัน ความโหยหาและโทมนัสเสีย, พึงถอนลูกศรที่เสียบตัวทิ้งไป. ผู้ที่ถอนลูกศรได้แล้วเป็นอิสระ ก็จะประสบความสงบใจ. จะผ่านพ้นความโศกเศร้าไปได้หมด กลายเป็นผู้ไร้โศกเย็นใจ”

“มนุษย์นี้ ตั้งแต่เริ่มเกิดอยู่ในครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เมื่อเริ่มชีวิตขึ้นมาแล้ว ก็มีแต่จะบ่ายหน้าไป ไม่หวนหลังกลับคืน. คนทั้งหลายถึงจะพรั่งพร้อมด้วยกำลังพล จะต่อสู้ให้ไม่แก่ไม่ตาย ก็ไม่ได้, ปวงสัตว์ล้วนถูกชาติและชราย่ำยี, เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความคิดว่าจะบำเพ็ญธรรม. ราชา
ผู้เป็นรัฏฐาธิบดีอาจเอาชนะกองทัพ ซึ่งมีพลทั้งสี่เหล่า (ช้าง ม้า รถ ราบ) ที่น่าสะพรึงกลัวได้ แต่ไม่สามารถเอาชนะ พญามัจจุราช... ราชาบางพวกแวดล้อมด้วยพลช้างและพลม้า พลรถ และพลราบ แล้วหลุดพ้นเงื้อมมือข้าศึกไปได้ แต่ไม่อาจตีหักให้พ้นพญามัจจุราช...ราชาทั้งหลายผู้แกล้วกล้า สามารถหักค่ายทำลายข้าศึกมากมาย ได้ด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลราบ แต่ไม่อาจย่ำยีพญามัจจุราช ฯลฯ มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมบวงสรวงทำให้ยักษ์ ปิศาจ หรือเปรตทั้งหลาย แม้ที่เกรี้ยวกราด
แล้วยอมสงบพิโรธได้ แต่จะทำให้พญามัจจุราชยินยอมหาได้ไม่ ฯลฯ ผู้ต้องหา ทำผิดฐานประทุษร้ายต่อองค์ราชา หรือต่อราชสมบัติ ก็ดี ผู้ร้ายที่เบียดเบียนประชาชน ก็ดี ยังมีทางขอให้พระราชาทรงผ่อนปรนพระราชทานอภัยโทษได้ แต่จะทำให้พญามัจจุราชผ่อนผันยอมตามหาได้ไม่... จะเป็นกษัตริย์ก็ตาม พราหมณ์ ก็ตาม จะร่ำรวย มีกำลังอิทธิพล หรือมีเดชศักดาแค่ไหน พญามัจจุราชก็ไม่เห็นแก่ใครเลย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความคิดว่าจะบำเพ็ญธรรม ฯลฯ ธรรมนั่นแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม, ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้, นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว. ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ. ธรรมกับอธรรม สองอย่างนี้ จะมีผลเสมอกันก็หาไม่, อธรรมย่อมนำไปสู่นรก, ธรรมย่อมให้ถึงสุคติ”

“เปรียบเหมือนว่า ภูเขาใหญ่ศิลาล้วนสูงจดท้องฟ้า กลิ้งเข้ามารอบด้าน ทั้งสี่ทิศ บดขยี้สัตว์ทั้งหลายเสีย ฉันใด ความแก่และความตายก็ครอบงำสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น, ทั้งกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์และศูทร ตลอดจนจัณฑาลและคนเก็บกวาดขยะ ชราและมรณะย่อมย่ำยีทั้งหมด ไม่ละเว้นใครเลย. ณ ที่นั้น ไม่มี ยุทธภูมิสำหรับพลช้าง สำหรับพลรถ หรือสำหรับพลราบ. จะใช้เวทมนตร์ต่อสู้หรือเอาทรัพย์สินจ้าง ก็ไม่อาจเอาชนะได้. เพราะฉะนั้น คนฉลาด (บัณฑิต) เมื่อมองเห็นประโยชน์ (ที่แท้) แก่ตน พึงปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์. ผู้ใดประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา ใจ ผู้นั้นย่อมเป็นที่สรรเสริญในโลกนี้, จากไปแล้ว ก็บันเทิงในสวรรค์”

“ชาวโลกถูกมัจจุราชคอยประหัตประหาร ถูกชราปิดล้อมไว้ ถูกลูกศรแห่งตัณหาทิ่มแทง พล่านไปด้วยความปรารถนาตลอดทุกเวลา. ชาวโลกถูกมัจจุราชห้ำหั่น ถูกชราล้อมไว้ ไม่มีอะไรต้านทานได้ จึงเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ราวกะเป็นคนร้ายที่ถูกลงโทษ. ความตายความเจ็บไข้และความแก่ เป็นเหมือนไฟ ๓ กองที่คอยไล่ตาม, กำลังที่จะรับมือได้ก็ไม่มี แรงเร็วที่จะวิ่งหนีก็ไม่พอ (เพราะฉะนั้น) เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า จะน้อยหรือมากก็ให้ได้อะไรบ้าง เพราะวันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไปจากประโยชน์ที่จะทำ. จะเดินอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งหรือนอนอยู่ก็ตาม วาระสุดท้ายก็ใกล้เข้ามา ๆ, ท่านจึงไม่ควรประมาทเวลา.”

ว.วชิรเมธี
สถาบันวิมุตตยาลัย

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=133684&categoryID=671

ดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจสมมติบัญญัติ...เพื่อชีวิตที่เป็นสุข

เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 27 เมษายน 2554

ในปัจจุบันสภาพการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง และความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางสังคมทำให้มนุษย์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งทางบวกและทางลบ ทางบวกก่อให้เกิดความสะดวกสบายและประหยัดเวลา ในทางลบทำให้มนุษย์มีรูปแบบวิถีชีวิตเอียงไปทางวัตถุ ทำให้ระบบครอบครัว ชุมชม สังคมและวัฒนธรรมอ่อนแอลง ขาดพลังความเข้มแข็งทางจิตใจ ต้องดิ้นรน แข่งขันและต่อสู้กันมากโดยหวังจะได้รับความพึงพอใจหรือเข้าถึงความสุขซึ่งใน ทางตรงกันข้ามกลับทำให้มนุษย์ต้องพบกับความทุกข์และมีปัญหาด้านสุขภาพจิตมาก ขึ้น

เหล่านี้เป็นเพราะมนุษย์ลืมไปว่าความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีทางด้านสังคมเป็นการตอบสนองชีวิตเพียงด้านเดียวคือด้านสังคมในขณะ ที่มนุษย์ละเลยชีวิตอีกด้านหนึ่งคือด้านธรรมชาติ ดังนั้นการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขจะต้องเป็นการดำเนินชีวิตที่ตอบสนอง ชีวิตทั้งสองด้านคือด้านสังคมและธรรมชาติอย่างสมดุล

พระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์มีชีวิตสองด้านคือด้านหนึ่งเป็นด้านธรรมชาติอีก ด้านหนึ่งเป็นด้านสังคม ในด้านธรรมชาติชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ส่วนในด้านที่เป็นสังคมมนุษย์จะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในสังคม เป็นส่วนประกอบของสังคม ถ้ามองในแง่นี้มนุษย์จะเป็นตัวเชื่อมกลางระหว่างธรรมชาติกับสังคม

พระพุทธศาสนายังเน้นย้ำอีกว่าถ้าหากว่ามนุษย์จะดำรงชีวิตให้มีความสุขจำเป็น ที่จะต้องดำรงชีวิตให้สอดคล้องหรือไม่ให้แปลกแยกจากธรรมชาติ ต้องเข้าถึงทั้งความจริงทั้งสองระดับ คือ ๑) ความจริงทางสังคม (สมมติบัญญัติ) ซึ่งเป็นความจริงที่ทางสังคมตกลงร่วมกันหรือยอมรับร่วมกันซึ่งพระพุทธศาสนา เรียกว่า “สมมติสัจ” ๒) ความจริงตามสภาวะ (สภาวะสัจ) คือความจริงตามสภาวะหรือตามธรรมชาติ ซึ่งความจริงชนิดนี้เป็นกฎธรรมชาติ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น เป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติเหนือการสมมติของมนุษย์

เบื้องหลังความจริงทางสังคม (สมมติบัญญัติ) มีความจริงทางธรรมชาติ (สภาวะสัจ) รองรับ สมมติบัญญัติเป็นตัวประสานความจริงเข้ากับสังคมหรือเป็นสิ่งที่นำเข้าสู่ ความจริงในระดับสภาวะ เป็นเสมือนเปลือกที่ห่อหุ้มความจริงในระดับสภาวะ สมมติบัญญัติเป็นที่มาของอารยธรรมของมนุษย์ ชีวิตและสังคมจะเป็นไปได้ด้วยดีต้องมีสมมติบัญญัติคือสมมติที่ออกมาในรูปของ บัญญัติเป็นฐาน ซึ่งสมมติที่ออกมาในรูปของบัญญัติ เช่นการบัญญัติชื่อคนแล้วยอมรับร่วมกันในสังคม การบัญญัติกฎกติกา (กฎหมาย) แล้วยอมรับร่วมกันในสังคม การให้มูลค่าของเงินทองแล้วตกลงร่วมกันในสังคม เป็นต้น

สมมติบัญญัติจึงเป็นเทคโนโลยีทางสังคมเพื่อให้มนุษย์เข้าถึงความจริงตาม ธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์จะต้องใช้สมมติบัญญัติเพื่อเอาประโยชน์จากความจริง ธรรมชาติ ไม่ติดอยู่เพียงแค่สมมติบัญญัติเพราะชีวิตมนุษย์มีสองด้านดังที่กล่าวแล้ว

ตัวอย่างที่ชัดเจนในการใช้สมมติบัญญัติทางสังคมเพื่อเข้าถึงความจริงทาง ธรรมชาติ เช่นการกระทำที่มีผลสองสถานะ คือสถานะหนึ่งได้แก่การกระทำเพื่อผลในระดับบัญญัติทางสังคม (สมมติบัญญัติ) เช่น ทำงานเพื่อเงินเดือน แต่มีอีกสถานะหนึ่งที่รองรับผลในระดับบัญญัติทางสังคมคือผลในระดับสภาวะ ได้แก่ ทำงานเพื่อผลสำเร็จของงานไม่ใช่เพียงแค่เงินเดือน เป็นต้น ซึ่งถ้าหากว่าเมื่อใดก็ตามมนุษย์ไม่ใช้สมมติบัญญัติเพื่อเข้าถึงธรรมชาติคือ ทำงานเพียงเพื่อเงินเดือนโดยไม่คำนึงถึงผลที่แท้จริงของงานที่อยู่เบื้อง หลังเงินเดือนเมื่อนั้นมนุษย์ก็จะเกิดการแปลกแยกจากธรรมชาติ ก็จะเกิดวิปริตขึ้นทั้งในจิตใจ ชีวิตและสังคม ดังนั้นสมมติบัญญัติจึงเป็นตัวประสานเพื่อให้มนุษย์เอาประโยชน์จากธรรมชาติ

การปฏิบัติต่อสมมติบัญญัติที่ถูกต้องคือมนุษย์ซึ่งเป็นปัจจัยตัวสำคัญใน กระบวนการของธรรมชาติเพราะเป็นตัวอยู่กลางระหว่างธรรมชาติและสังคมไม่ควร เห็นสมมติว่าเป็นเรื่องเหลวไหลแต่ขณะเดียวกันก็ไม่ควรหลงใหลในสมมติ ต้องใช้ปัญญาให้เข้าใจตามหลักทางพระพุทธศาสนาที่มองว่าสมมติบัญญัติก็คือ ความจริงแต่เป็นความจริงในระดับหนึ่งซึ่งยังมีความจริงที่เหนือขึ้นไปอีก ได้แก่ความจริงในระดับสภาวะที่เป็นแก่นแท้ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต ต้องใช้ปัญญาที่เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในกฎธรรมชาติ และเจตนามีคุณสมบัติทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วเป็นเครื่องมือในการเข้าใจ ธรรมชาติและสังคม

มนุษย์ที่เข้าใจธรรมชาติตรงนี้จึงสามารถดำรงตนให้สอดคล้องกับธรรมชาติเพื่อ ชีวิตที่เป็นสุข สามารถใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนองเจตนาและปัญญาในการเข้าไปร่วมกระบวน การธรรมชาติให้เกิดผลที่ตนเองต้องการและสามารถดำรงอยู่โดยไม่ให้แปลกแยกทั้ง สองด้านคือธรรมชาติสังคม

กล่าวโดยสรุปในฐานะที่มนุษย์เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์กับธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่มนุษย์ปรากฏขึ้นมา บนพื้นโลก ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ไม่อาจแยกตัวออกจากกันได้ แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคมเช่นกัน ดังนั้นเพื่อความงอกงามแห่งจิตใจหมายถึงการที่จิตใจของบุคคลประกอบด้วย คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งมีความฉลาดในการกระทำที่เกื้อกูลแก่ชีวิตและจิตใจให้งดงามเพื่อให้ จิตเป็นอิสระจากทุกข์

มนุษย์จึงจำเป็นที่จะต้องเอาปัญญาและเจตนาที่ดีไปเป็นปัจจัยร่วมในกระบวนการ ของกฎธรรมชาติเพื่อให้เกิดผลดีแก่ชีวิตและสังคมพร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีทาง สังคมและเทคโนโลยีทางด้านจิตใจเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตอย่างมีความ สุขตามหลักพระพุทธศาสนา ต้องรู้และเข้าใจความจริงทางธรรมชาติและความจริงทางสังคมอย่างถูกต้องและ จริงจังด้วยปัญญาโดยยึดหลักพระพุทธศาสนาที่สอนให้มนุษย์ดำเนินชีวิตให้ถูก ต้อง และมีดุลยภาพระหว่างสังคมและธรรมชาติเพื่อเข้าถึงความสุขที่แท้จริง.

ผศ.ดร.พระมหาทวี มหาปญฺโญ (ละลง)

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=135051

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

การฝังเข็มรักษาโรคอะไรได้บ้าง ?


การฝังเข็มไม่เพียงแต่ จะช่วยทำให้หลอดเลือดบริเวณที่ปักเข็มขยายตัวเท่านั้น แต่หลอดเลือดฝอยทั่วร่างกายก็จะมีการขยายตัวอย่างเหมาะสมอีกด้วย ทำให้เนื้อเยื่อทั่งร่างกายได้รับสารอาหารและขจัดของเสียที่คั่งค้างได้ดี กว่า

การฝังเข็มยังสามารถออกฤทธิ์กระตุ้นเพื่อปรับการทำ งานของอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากจุดฝังเข็มได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น

เมื่อปักเข็มกระตุ้นจุด "เน่ยกวาน" บนเส้นลมปราณเยื่อหัวหัวใจที่อยู่บริเวณข้อมือ สามารถปรับการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ สามารถทำให้หลอดเลือดหัวใจขยายตัวได้

เมื่อปักเข็มกระตุ้นจุด "จู๋ซานหลี่" ของเส้นลมปราณกระเพาะอาการที่อยู่บริเวณหน้าแข็ง สามารถกระตุ้นทำให้กระเพาะอาการที่หดเกร็ง มีการคลายตัวและบีบตัวเป็นจังหวะดีขึ้น สามารถปรับการหลั่งของกรดในผู้ป่วยที่มีภาวะกรดกระเพาะอาการมากเกินไป ให้ลดน้อยลงสู่สภาพปกติได้

เมื่อใช้การรมยากระตุ้นจุด "จื้อยิน" ที่บริเวณนิ้วก้อยของเท้า พบว่า สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูกของสตรีที่ตั้งครรภ์ ให้หดตัวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้ทารกในครรภ์มีการหมุนเคลื่อนตัว จึงสามารถใช้วิธีการนี้มารักษาภาวะทารกในครรภ์อยู่ผิดท่าได้

ตัวอย่าง เหล่านี้ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับการแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะไม่สามารถอธิบายกลไกการเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ได้จากความรู้ทางการ แพทย์ที่มีอยู่แต่เดิม อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ระบบประสาทและการค้นคว้าในด้านการฝังเข็มพบว่า

การ กระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลาย (peripheral nerve) ด้วยการฝังเข็ม สามารถก่อให้เกิดสัญญาณประสาทเข้าสู่ก้านสมองและสมอง และมีทางเดินประสาท (pathway) เชื่อมโยงไปยังศูนย์เซลประสาท (neuron center) ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจายอยู่บริเวณก้านสมองและฮัยโปธาลามัส แล้วมีสัญญาณประสาทส่งกลับไปควบคุมการทำงานของอวัยวะระบบต่าง ๆ โดยผ่านระบบประสาทอัตโนมัติที่ไปยังอวัยวะนั้น ๆ

การฝัง เข็มยังสามารถกระตุ้นสมอง ให้มีการหลั่งสารสื่อสัญญาณประสาท (neurotransmitters) ออกมาหลายชนิด ที่สำคัญคือ เอนดอร์ฟิน (ndorphins) สารตัวนี้มีฤทธิ์ระงับปวดที่แรงมาก ประมาณว่ามันแรงมากกว่ายามอร์ฟีนถึง 1,000 เท่า การฝังเข็มจึงมีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายได้อีกด้วย

นอก จากนี้ การฝังเข็มยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่งสารฮอร์โมนที่สำคัญออกมา ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ACTH และฮอร์โมนคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กว้างขวางมาก เช่น การลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ กระตุ้นการปลดปล่อยพลังงานภายในร่างกาย เป็นต้น

ฤทธิ์ในการปรับควบคุมการทำงานของอวัยวะระบบต่าง ๆ ด้วยการฝังเข็มนั้น มีลักาณะพิเศษที่เรียกว่า "ทวิภาพ" (Biphasic effect)

หมาย ความว่า การฝังเข็ม ณ จุดเดียวกันสามารถปรากฏผลออกมาได้ 2 แบบ คือ อาจ "กระตุ้น" ให้อวัยวะทำงานเพิ่มขึ้น หรืออาจ "ยับยั้ง" ให้อวัยวะทำงานลดลงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพวะของอวัวะหรือร่างกายของ ผู้ป่วยในขณะนั้นด้วย

กล่าวคือ ถ้าอวัยวะหรือระบบนั้น ๆ อยู่ในสภาวะที่ทำงานน้อยเกินไป (hypofunction) การฝังเข็มจะออกฤทธิ์ "กระตุ้น" ให้มันทำงานเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับปกติ (normofunction)

ใน ทางตรงกันข้าม ถ้าวอวัยวะหรือระบบนั้น ๆ อยู่ในสภาวะที่ทำงานมากเกินไป (hyperfunction) การฝังเข็มกลับจะออกฤทธิ์ "ยับยั้ง" ทำให้มันทำงานลดน้อยลงไปสู่ระดับปกติ

ตัวอย่างเช่น ถ้าหัวใจมีอัตราการเต้นเร็วกว่าปกติ เช่น เร็วเกินกว่า 100 ครั้งต่อนาที การฝังเข็มสามารถจะยับยั้งให้มันเต้นช้าลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที ตรงกันข้าม ถ้าหัวใจเต้นช้า เช่น น้อยกว่า 40 ครั้งต่อนาที เมื่อฝังเข็มก็จะสามารถกระตุ้นให้มันเต้นเร็วขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ

อย่าง ไรก็ตาม ถ้าผู้ป่วยคนนั้นมีอัตราการเต้นหัวใจอยู่สภาพวะปกติอยู่แล้ว การฝังเข็มกระตุ้นมักจะไม่มีผลทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนผิดปกติไป ได้

นั่นหมายความว่า ถ้าปักเข็มในคนที่อยู่สภาวะปกติ มักจะไม่มีผลอะไรปรากฎออกมาอย่างชัดเจน เพราะว่าฤทธิ์ของการฝังเข็มในการปรับสมดุลการทำงานของอวัยวะหรือระบบต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดเจนก็ต่อเมื่ออวัยวะหรือระบบนั้นมีความผิดปกติเสียสมดุลในการทำ งานไปแล้ว

สมมุติว่า คน ๆ นั้นมีอัตราการเต้นหัวใจอยู่ในเกณฑ์ปกติประมาณ 70 ครั้งต่อนาที เมื่อฝังเข็มไปแล้ว จะไม่สามารถกระตุ้นทำให้หัวใจเต้นผิดปกติเร็วขึ้นเป็น 100 ครั้งต่อนาทีหรือช้าลงไปเป็น 30 ครั้งต่อนาทีได้เลย

ต่างไปจากการใช้ "ยา" ยาจะมีฤทธิ์เพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว เท่านั้นคือ "กระตุ้น" หรือไม่ก็ "ยับยั้ง"

ใน กรณีที่หัวใจเต้นช้า เราอาจฉีดยาอะโทรปิ่น (atropine) เพื่อกระตุ้นเร่งหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นได้ ถ้าหัวใจเต้นเร็วอยู่แล้วหากเรายังฉีดยาอะโทรปิ่นให้แก่ผู้ป่วยเข้าไปอีก หัวใจก็จะยิ่งเต้นเร็วขึ้น จนอาจเกิดอันตรายให้แก่ผู้ป่วยได้ในที่สุด

แต่ ถ้าฝังเข็ม ผลที่ปรากฏออกมาจะมี 2 แบบ เท่านั้นคือ หัวใจเต้นช้าลงมาสู่ปกติ หรือไม่ก็ยังคงเต้นเร็วอยู่เท่าเดิม การฝังเข็มจะไม่ทำให้หัวใจที่เต้นเร็วอยู่แล้ว ยิ่งเต้นเร็วขึ้นไปอีกอย่างเด็ดขาด

การฝังเข็มจึงไม่มีอันตรายจากการใช้เกินขนาด (overdose) หรือการเกิดพิษ (intoxication) เหมือนเช่นกับการใช้ยา

ใน ด้านระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็เช่นกัน การฝังเข็มมีฤทธิ์กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติมีการทำงานเพิ่ม ขึ้น เช่น กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวกินสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคในร่างกายได้ดีขึ้น กระตุ้นให้มีการหลั่งสารแอนตี้บอดี้ (antibody) กระตุ้นการสร้างสารเคมีที่ควบคุมกลไกภูมิคุ้มกันให้เพิ่มมากขึ้น การฝังเข็มจึงสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคนเราให้เข็มเข็งขึ้นได้

ตรง กันข้าม ในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ การฝังเข็มจะช่วยยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นมากเกินไปให้ลดน้อยลง ได้

ฤทธิ์ในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของการฝังเข็มนี้ ส่วนหนึ่งมาจากบทบาทของเอนดอร์ฟีนที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาด้วย การฝังเข็มนั่นเอง

ตามทฤษฎีวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ นั้น การฝังเข็มเป็นวิธีการกระตุ้นระบบประสาทอย่างหนึ่ง ที่สามารถปรับการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายที่เสียสมดุลผิดปกติไปให้กลับสู่สภาพปกติโดยผ่านทางระบบประสาท ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า "Neuromodulation"

จากการค้นคว้าเกี่ยวกับกลไกการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ นักวิยาศาสตร์และแพทย์พบว่า

เมื่อ ปักเข็มลงไปยังจุดหนึ่ง ๆ แล้วทำการกระตุ้นเข็ม จะเป็นการกระตุ้นตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ของปลายประสาทหลายชนิดที่กระจายอยู่ในแต่ละชั้นของเนื้อเยื่อ นับตั้งแต่ผิวนหนัง, เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง, เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (fascia) , กล้ามเนื้อ, เส้นประสาท, หลอดเลือด เป็นต้น ทำให้เกิดสัญญาณประสาทวิ่งผ่านเข้ามาในไขสันหลัง

สัญญาณ ประสาทส่วนหนึ่ง จะย้อนออกไปจากไขสันหลังเกิดเป็นวงจรสะท้อนกลับ (reflex) ไปทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่ออวัยวะบริเวณใกล้เคียงที่ถูกเข็มปัก เช่น มีการขยายตัวของหลอดเลือด มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง เป็นต้น

สัญญาณประสาทอีกบางส่วน จะเคลื่อนที่ขึ้นไปตามไขสันหลังเข้าสู่สมองไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมต่าง ๆ ในสมอง มีการหลั่ง "สารสื่อสัญญาณประสาท" (neurotransmitter) ต่าง ๆ ออกมาจากเซลล์ประสาทหลายชนิดพร้อมกับมีสัญญาณประสาทส่งย้อนลงมาจากสมองอีก ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system)

สัญญาณประสาทที่ส่งออกมาพร้อมกับสารสื่อสัญญาณประสาทที่หลั่งออกมานั้น จะก่อให้เกิดผลต่าง ๆ ตามมาหลายอย่าง อาทิเช่น

- ยับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับอันตราย

- ปรับการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่เสียสมดุลไปให้กลับสู่สภาพสมดุลตามปกติ

- ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนหลายอย่างให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อปรับให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างสมดุลเป็นปกติ

- กระตุ้นปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาพให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่อ ขจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ไวเกิน ยับยั้งปฏิกิริยาการอักเสบ เป็นต้น โดยผ่านฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ เป็นสำคัญ

ฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ หรือสเตียรอยด์ (steroids) นั้น เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นร่างกายได้กว้างขวางมาก ยาเพรดนิโซโลนที่ใช้กันในทางการแพทย์ซึ่งถือเป็น " ยาสารพัดนึก" ที่ใช้รักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมาย ก็เป็นสารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุที่ การฝังเข็มสามารถกระตุ้นร่างกายให้มีการหลั่งฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ได้ ประกอบกับการฝังเข็มก็สามารถกระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ทุกระบบ จึงไม่แปลกใจเลยที่ฤทธิ์การรักษาโรคด้วยการฝังเข็มจึงมีอยู่กว้างขวางมากมาย เช่นกัน


กลไกการรักษาโรคของการฝังเข็ม

การ ผังเข็มจะกระตุ้นให้เกิดสัญญาณประสาท ส่งเข้าไปยังไขสันหลังแล้วออกวกออกมา ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งเกิดการคลายตัว และหลอดเลือดที่หดตัวเกิดการขยายตัว สัญญาณประสาทบางส่วนจะถูกส่งขึ้นไปยังสมองกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อ สัญญาณประสาท เช่น เอนดอร์ฟินและฮอร์โมนต่าง ๆ แล้วส่งสัญญาณประสาทกลับลงมาตามไขสันหลังและเส้นประสาท เพื่อช่วยปรับการทำงานของอวัยวะระบบต่าง ๆ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สมดุลเป็นปกติ

จะ เห็นว่า กลไกในการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มนั้น มิใช่เป็นกลไกที่ง่าย ๆ แต่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับทุกระบบของร่างกาย

โดย สรุปแล้ว จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ การฝังเข็มสามารถรักษาโรคโดยอาศัยกลไกสำคัญ ดังต่อไปนี้

1. ปรับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพสมดุลปกติ
2. ยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
3. ปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
4. ทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งมีการคลายตัว
5. กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทั้งบริเวณเฉพาะที่และทั่วร่างกาย

อย่างไรก็ตาม การฝังเข็มมิใช่ "เข็มวิเศษ" ที่สามารถรักษาโรคได้ทุกโรค มันมีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน

ถ้า เป็นโรคที่มีพยาธิสภาพของอวัยวะเสียหายรุนแรง เป็นเรื้อรังมานาน ผู้สูงอายุวัยชราที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสภาพมาก ไม่ว่าจะฝังเข็มกระตุ้นอย่างไร ร่างกายก็อาจจะไม่ตอบสนอง การรักษาก็อาจจะไม่ได้ผลดีตามที่คาดคิดเอาไว้ก็ได้ ซึ่งตัวอย่างผู้ป่วยทำนองนี้ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ

50 ปีทีผ่านมานี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้เราได้เข้าใจกลไกการรักษาโรคด้วย การฝังเข็มเป็นอย่างมากทีเดียว แต่เราก็ยังไม่ได้เข้าใจมันทั้งหมด

สิ่ง ที่เรายังไม่เข้าใจหรือยังค้นหาคำตอบไม่ได้ ยังมีอีกมากเช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่รอให้เราไปค้นคว้าแสดงหาคำตอบ และเราก็จะเข้าใจกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์ของเวชกรรมวังเข็มมากยิ่งขึ้นไปอีกอย่าง แน่นอน

Source: http://www.thaiacupuncture.net/public/index.php?option=com_content&task=view&id=19&Itemid=42

การฝังเข็มรักษาโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้คืออะไร
ในอากาศที่ล้อมรอบตัวเรานั้นนอกจากจะมีก๊าซออกซิเจนที่ใช้สำหรับหายใจเพื่อการดำรงชีวิตแล้ว ยังมีสารแปลกปลอมอื่นๆเจือปนอยู่มากมายอาทิเช่น ฝุ่นละออง,เชื้อโรค,สารเคมี หรือมูลตัวไรที่อาศัยอยู่ตามเครื่องนอนหมอนฟูก โดยปกติแล้ว เมื่อคนเราหายใจเอาสารแปลกปลอมเหล่านี้เข้าไป ร่างกายสามารถจะมีปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันกำจัดมันออกไปจากร่างกายได้โดยไม่มีอาการผิดปกติอะไรปรากฏออกมา
ส่วนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้นั้น จะมีปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารแปลกปลอมเหล่านี้รุนแรงกว่าในคนปกติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆเช่น จามง่าย , คัดจมูก , น้ำมูกใส , มีเสมหะไหลลงคอ เหมือนกับเป็นหวัดเรื้อรัง
ในรายที่อาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการดังกล่าวเป็นครั้งคราวเมื่อสูดเอาสารบางอย่างเท่านั้นเข้าไป แต่ในรายที่เป็นรุนแรงมักจะมีอาการบ่อยแทบทุกวัน สารที่แพ้ก็มักจะมีหลายอย่างเช่น ฝุ่นละออง , มูลตัวไร , น้ำหอม ,ควันรถ เป็นต้น ผู้ป่วยมักต้องรับประทานยาแก้แพ้เป็นประจำแทบทุกวัน
นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ยังอาจมีอาการอื่นๆอีกด้วยเช่น หอบหืด ,ผื่นแพ้ผิวหนัง,แพ้อาหาร,แพ้ยา เป็นต้น

สาเหตุของโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้มีสาเหตุส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ประมาณ 16-28% ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการตั้งแต่อายุน้อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่เสียสมดุลย์ไป นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากระบบประสาทอัตโนมัติพาราซิมพาเตติกของผู้ป่วยมีการทำงานมากเกินไปอีกด้วย เมื่อมีสารแปลกปลอมมากระตุ้นก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินไปแสดงออกมา

การรักษาโรคภูมิแพ้
ตามการแพทย์แผนปัจจุบันในขณะนี้ นอกจากให้ผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทราบว่าแพ้แล้ว การรักษาที่สำคัญได้แก่การให้ยาเพื่อลดอาการเนื่องจากภูมิแพ้ เช่นยาลดน้ำมูก , ยาลดการหลั่งสารฮีสตามีน นอกจากนี้ยังมีการนำสารที่แพ้มาทำเป็นยาฉีดเพื่อลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ซึ่งต้องฉีดต่อเนื่องเป็นเวลานานประมาณ 2-3 ปี

การรักษาด้วยการฝังเข็ม
การฝังเข็มนั้นสามารถใช้รักษาโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน ซึ่งมีผลการศึกษาทดลองรักษามากมาย ในต่างประเทศตลอดจนในประเทศไทย องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ก็ได้ประกาศรับรองผลการรักษาโรคนี้ด้วยการฝังเข็มมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522
แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆปักจุดบริเวณรอบจมูกและแขนขา แล้วทำการกระตุ้นประมาณ 20 นาที โดยทั่วไปจะทำการรักษาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 10 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วเมื่อฝังเข็มไปประมาณ 5 ครั้งจะเห็นผลการรักษาได้อย่างชัดเจน โดยที่ผู้ป่วยจะจาม , คัดจมูกน้อยลง บางคนสามารถลดปริมาณยาที่รับประทานลงไปได้กระทั่งไม่ได้รับประทานยาเลยก็มี
การฝังเข็มรักษาโรคภูมิแพ้นั้น ไม่เพียงแต่สามารถบรรเทาอาการคัดจมูก ,จาม , ไอได้เท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ การฝังเข็มสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นสู่สภาพสมดุลตามปกติ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ดังนั้นเมื่อหยุดฝังเข็มแล้วผู้ป่วยก็จะมีอาการภูมิแพ้เกิดซ้ำขึ้นมาน้อยมากหรือกระทั่งหายไปได้เลย ต่างจากการใช้ยา ซึ่งเมื่อหยุดยาแล้ว อาการทุกอย่างก็จะปรากฏออกมาอีกเหมือนเดิม
การรักษาโรคภูมิแพ้โดยการฝังเข็มนี้ ได้ผลในการรักษาประมาณ 90 % ในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย เช่นระยะวัยรุ่นจะเห็นผลการรักษาดีมาก ตรงกันข้ามในผู้ป่วยที่มีอายุมากจะได้ผลน้อยกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้สูงอายุถูกสารภูมิแพ้กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ผิดปกติมาเป็นเวลานานเรื้อรังกว่า และทำให้สภาพเยื่อบุจมูกเสื่อมไปมากกว่านั่นเอง

ตัวอย่างผู้ป่วย

1) คุณ ธ. นักศึกษา อายุ 19 ปี มีอาการโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก คัดจมูกจามบ่อยในเวลากลางคืนและรุ่งเช้าต้องรับประทานยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกเป็นประจำทุกวันนานประมาณ 10 กว่าปี ได้มาฝังเข็มรักษา หลังจากทำครั้งแรก อาการทุเลาลง
อย่างชัดเจน เมื่อทำครบ 7 ครั้ง อาการต่างๆหายเป็นปกติ

2) คุณ ย. ข้าราชการ อายุ 42 ปี มีอาการคัดจมูก จาม เป็นประจำทุกเช้า โดยเฉพาะเวลาโดน ฝุ่นละออง หรือถูกอากาศเย็น ต้องรับประทายยาแก้แพ้ และยาลดน้ำมูกในตอนก่อนนอนทุกคืน ติดต่อกันมานาน 20 ปี ได้รับการฝังเข็มรักษาโรคภูมิแพ้ติดต่อกันรวม 50 ครั้ง อาการต่างๆทุเลาหายไปหมด สามารถหยุดรับประทานยา โดยไม่มีอาการกำเริบเลยได้เกือบ 1 ปี หลังจากหยุดการรักษาแล้ว

3)คุณ บ. นักเรียน อายุ 14 ปี เป็นโรคภูมิแพ้ มานาน 4 ปีได้มารักษาด้วยการฝังเข็ม5ครั้ง อาการต่างๆทุเลาหายไปหมด สามารถหยุดรับประทานยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกได้หมดเช่นกัน

Source:http://www.yanhee.co.th/yhh/th/altn/thaiacupuncture/allergy.htm

พัฒนาการของการฝังเข็มในประเทศจีน


เวชกรรมฝังเข็มเป็นศาสตร์การรักษาโรคที่มีกำเนิดมาจากประเทศจีน จากหลักฐานทางโบราณ คดีียุคหินใหม่ มีการขุดค้นพบเข็มรูปร่างต่างๆที่ฝนทำมาจากเศษหิน กิ่งไม้, เศษกระดูก ,กระเบื้องดินเผา, โลหะสำริด,ทองแดง,เหล็ก,ทองคำและเงิน เป็นต้น สำหรับใช้ปักแทง กดนวด ร่างกาย และกรีดหนอง แสดงให้เห็นว่า บรรพบุรุษของชาวจีนในยุคโบราณ รู้จักใช้เข็ม รักษาโรค มาเป็นเวลายาวนาน อย่างน้อยก็ 4,000 ปีมาแล้ว


บรรดานักโบราณคดีและแพทย์จีน ได้เสนอข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของการฝังเข็มเอาไว้ดังนี้ว่า…

มนุษย์เราคงได้เรียนรู้และสังเกตพบว่า เมื่อมีความเจ็บปวด จากโรค ณ บริเวณหนึ่งๆ หากทำการกดนวดหรือแทงกระตุ้น “จุด” บางแห่งของร่างกายแล้ว จะสามารถบรรเทา ความเจ็บปวดหรืออาการ ไม่สบายต่างๆได้ผลดีกว่าจุดอื่นๆ เมื่อผ่านการสั่งสม ประสบการณ์ ถ่ายทอดต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคน มนุษย์จึงเกิดจินตภาพของ “จุดกระตุ้นที่สามารถรักษาโรค” ขึ้นมาได้ในที่สุด

การฝังเข็มถือเป็นวิธีการรักษาโรคที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวจีน นอกเหนือไปจากการรักษา ด้วยยาสมุนไพรและการนวด ในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเช่น หมดสติ เป็นลม ชักกระตุก และอาการเจ็บปวด ต่างๆ การฝังเข็มจะให้ผลการรักษาได้รวดเร็วกว่าการใช้ยาสมุนไพรเป็น อย่างมาก ดังนั้น ในแต่ละยุคสมัยหรือในแต่ละราชวงศ์ของจีน วิชาฝังเข็มมักจะได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีการค้นคว้าทฤษฎีและวิธีการใหม่ๆอยู่เสมอ

ในสมัยสงครามระหว่างแคว้นเมื่อประมาณ 2,000 กว่าปีก่อนนั้น บรรพบุรุษชาวจีนได้ร่วมกัน นิพนธ์ คัมภีร์อายุรเวทของกษัตริย์หวงตี้ (หวงตี้เน่ยจิง) อันเป็นตำราแพทย์ที่เป็นรากฐานทฤษฎีการแพทย์จีนและวิชาฝังเข็มเอาไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ ซึ่งบรรพบุรุษชาวจีนก็ได้ใช้ความรู้เหล่านี้ มาต่อสู้กับโรคภัย ไข้เจ็บที่เบียดเบียนประชาชน และพัฒนาวิชาฝังเข็มให้เจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ดังเช่น

ในยุคสงครามระหว่างแคว้นเปี่ยนเช่ แพทย์ผู้มีชื่อเสียงและมีฝีมือสูงส่งได้นิพนธ์ คัมภีร์ หนานจิง หรือคัมภีร์ “ว่าด้วยปัญหา” อันเป็นการพัฒนา ความรู้ในคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิงให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ยุคสมัยสามก๊ก ฮูโต๋ ซึ่งเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้พัฒนาคิด สร้างวิธีการฝังเข็มแบบฮูโต๋ขึ้น ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้ผลที่ดี มากวิธีหนึ่งและยังเป็นที่นิยมใช้มากระทั่งในปัจจุบัน ฮูโต๋ยังได้เขียนตำรา วิชาแพทย์เอาไว้อีกมากมาย เสียดายว่าส่วนใหญ่ได้สูญหายไปเสียแล้ว

ตอนปลายสมัยสามก๊ก หวงฝู่มี่ ได้ค้นคว้าตำราแพทย์ที่มีอยู่กระจัดกระจายในขณะนั้น แล้วทำการรวบรวมให้เป็นระบบ เรียบเรียงเป็น “ตำราฝังเข็มเล่ม 1 และ 2” ทำให้วิชาฝังเข็มได้รับการถ่ายทอดต่อเนื่องมายัง ชนรุ่นหลัง ถือเป็นคุณูปการที่สำคัญมากของหวงฝู่มี่

ยุคสมัยราชวงศ์หนานเฉา แพทย์จีนได้มีการวาดรูปภาพกายวิภาค ร่างกายมนุษย์ มาแสดงเส้นทางเดินของลมปราณและตำแหน่งจุดฝังเข็ม ทำให้การเรียนวิชาฝังเข็มมีความสะดวกและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ วิชาฝังเข็มได้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง
ในสมัยราชวงศ์ถัง การแพทย์จีนได้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก การฝังเข็มถือว่าเป็นวิธีการรักษาโรคที่สำคัญ มีการจัดตั้งแผนกฝังเข็มใน ราชสำนักขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากจะมีการบริการรักษาโรคแล้ว แผนกนี้ยังมีหน้าที่ในการสอนและ ฝึกอบรมวิชาฝังเข็มอีกด้วย

สมัยราชวงศ์เป่ยซ่ง หวังเหวยอี้ ได้รวบรวมตำราฝังเข็มที่มีอยู่กระจัดกระจายและมีเนื้อหา ที่ไม่ถูกต้อง ให้เป็นระบบ มีการสร้างหุ่นทองแดงรูปร่างเท่าคนจริง เป็นหุ่นจำลองสำหรับให้นักเรียนฝึกหัดฝังเข็ม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้วิชาฝังเข็มได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

วิชาฝังเข็มได้พัฒนารุ่งเรืองมาจนถึงขีดสูงสุดในสมัยราชวงศ์หมิง ในยุคนี้มีการเรียบเรียงตำราฝังเข็มที่สำคัญออกมาหลายเล่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ตำราเจินจิวต้าเฉิง (Compendium of Acupuncture and Moxibustion) ของ หยางจี้โจว นอกจากนี้ ยังมีการคิดวิธีกระตุ้นเข็มแบบต่างๆเพิ่มเติมจากเดิม เป็นจำนวนมากถึง 20 กว่าวิธี มีการรวบรวมจุดฝังเข็มนอกเส้นลมปราณ ให้เป็นระบบและมีการพัฒนาการรมยาด้วยสมุนไพร เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่า นี่คือ ยุคทองของวิชาฝังเข็มของจีน

ตอนปลายของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิทรงอ่อนแอไร้ความสามารถในการปกครอง ทำให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย เป็นเหตุให้มีการก่อกบฎเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หมิงจึงไปขอความช่วยเหลือจากชนเผ่าแมนจู ให้ยกกองทัพมาช่วยปราบกบฎ ฝ่ายแมนจูเห็นเป็นโอกาส จึงเข้ามายึดนครหลวงปักกิ่ง แล้วสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นปกครองประเทศจีนในเวลาต่อมา

ชาวแมนจูนับถือคำสอนของลัทธิขงจื้อที่ถือว่า การเปลือยกายหรือเปิดเผยส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกาย ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ร่างกายของคนเราเป็นสิ่งล้ำค่าที่บิดามารดาสร้างหรือมอบมาให้ การยินยอมให้ของมีคมหรือวัตถุแปลกปลอมล่วงล้ำทำร้ายต่อร่างกาย ถือเป็นบาปต่อบุพการี ทำให้ผู้คนไม่นิยมมารักษาด้วยวิธีฝังเข็ม เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายที่ต้องเปิดเผยร่างกายให้แพทย์ทำการปักเข็ม

กระทั่งถึงปีค.ศ.1822 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวงแห่งราชวงศ์ชิง ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกแผนกฝังเข็มรมยา ห้ามทำการรักษาโรคด้วยวิธีนี้ในราชสำนักตลอดไป การฝังเข็มจึงได้แต่เสื่อมความนิยมลงเป็นลำดับ

นับตั้งแต่ปีค.ศ.1840 ภายหลังจากที่จีนพ่ายแพ้สงครามฝิ่นให้แก่อังกฤษ บรรดามหาอำนาจต่างชาติได้เข้ามาแผ่ขยายอิทธิพลในประเทศจีน โดยได้นำเอาวิทยาการทางการแพทย์มาเผยแพร่ด้วย และเป็นที่ยอมรับในหมู่ชาวจีนได้ในเวลาอันรวดเร็ว ยิ่งทำให้การแพทย์แผนโบราณจีนเสื่อมความนิยมลงไปอีก

ภายหลังการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐในปีค.ศ.1911 มาจนกระทั่งในสมัยที่พรรคก๊กมินตั๋งขึ้นปกครองประเทศจีน ประเทศจีนก็เปลี่ยนมายึดถือการแพทย์แผนตะวันตกเป็นระบบการแพทย์หลักของประเทศอย่างเต็มตัว การแพทย์แผนโบราณรวมทั้งการฝังเข็มจึงได้รับการดูถูกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้น เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ คงเหลือเป็น วิธีการรักษาโรคเล็กๆน้อยๆ ให้แก่ประชาชนผู้ยากจนในชนบทเท่านั้นเอง

ในปีค.ศ.1927 พรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นอย่างรุนแรง พรรคก๊กมินตั๋งยกกำลังเข้าปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำ จำต้องหลบหนีไปตั้งฐานที่มั่นในชนบท เพื่อสู้รบกับพรรคก๊กมินตั๋ง

ท่ามกลางความยากลำบากและขาดแคลนวัตถุรวมทั้งเวชภัณฑ์ในเขตชนบท เหมาเจ๋อตงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเห็นความสำคัญของการแพทย์แผนโบราณของจีนเป็นอย่างมาก สนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรและการฝังเข็มรักษาโรค วิชาฝังเข็มจึงสามารถดำรงอยู่ได้และมีการพัฒนา ในเวลาต่อมา

ปีค.ศ.1949 เมื่อได้รับชัยชนะในสงครามปลดปล่อยและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงถือนโยบายสนับสนุนการแพทย์แผนโบราณจีนอยู่ต่อไป และเรียกร้องให้ประสานเข้ากับการแพทย์แผนตะวันตกอีกด้วย

ในเดือนกรกฎาคมปีค.ศ.1951 จีนก็ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยการฝังเข็มรมยาขึ้น เป็นการเริ่มต้นพัฒนาวิชาฝังเข็มอย่างจริงจัง จีนได้ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาฝังเข็มเป็นอย่างมาก การวิจัยค้นคว้าได้ทำกันอย่างลึกซึ้งทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ ครอบคลุมไปทุกแขนงของวิทยาศาสตร์การแพทย์

ผลงานการค้นคว้าวิจัยที่สำคัญทางด้านเวชกรรมฝังเข็มในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา นับจากการปฏิวัติสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนได้แก่

1. การสำรวจ “ปรากฏการณ์เส้นลมปราณ” ในประชากรกลุ่ม ต่างๆทั่วทั้งประเทศจีน โดยมีประชากรเข้าร่วมการสำรวจเป็นจำนวน มากถึง 200,000 คน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า “ปรากฏการณ์เส้น ลมปราณ” นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในภาววิสัยและเป็นคุณสมบัติทาง สรีรวิทยาอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์เรา

2. การค้นคว้าเกี่ยวกับจุดลมปราณทั้งในแง่กายวิภาคและ สรีรวิทยา ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างทางกายวิภาคและเข้าใจถึงคุณ-สมบัติต่างๆของจุดลมปราณว่า มันเป็นตำแหน่งบนผิวหนังของ ร่างกายที่มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำและการนำไฟฟ้าสูง เมื่อกระตุ้นแล้ว สามารถปรับการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆในร่างกายได้

3.การนำเอาการฝังเข็มมาใช้ระงับความเจ็บปวดในการผ่าตัด แทนการใช้ยาชาหรือยาสลบได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการบุกเบิก พัฒนาวิชาวิสัญญีวิทยาที่มีอยู่เดิม และเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความ เข้าใจถึงกลไกในการระงับความเจ็บปวดและการรักษาโรคด้วย การฝังเข็มในเวลาต่อมา

4. การคิดค้นวิธีการฝังเข็มรูปแบบใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากวิธีการแบบโบราณเช่น การฝังเข็มศีรษะ เข็มหู เข็มตา เข็มใบหน้า เข็มเท้ารวมทั้งการประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆเช่น เข็มแม่เหล็ก เข็มไฟฟ้า เครื่องรมยาสมุนไพรไฟฟ้า เป็นต้น

5. การศึกษาวิจัยนำเอาการฝังเข็มมาใช้รักษาโรคต่างๆ ซึ่งใน ปัจจุบัน มีรายงานการศึกษาครอบคลุมทุกแผนก ไม่ว่าจะเป็นด้าน อายุรกรรม ศัลยกรรม กุมารเวช สูตินารีเวช วิสัญญีวิทยา จักษุวิทยา ออร์โธปิดิกส์ และหูคอจมูก เป็นต้น

ผลงานดังกล่าวนี้นับเป็นคุณูปการที่ชาวจีนได้สร้างให้แก่มวลมนุษยชาติ ทำให้วิชาฝังเข็มให้ก้าวไปสู่ความเป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และสามารถประสานเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน จนเป็นที่ยอมรับและแพร่หลายไปทั่วโลก

การเผยแพร่เวชกรรมฝังเข็มในทั่วทุกมุมโลก

ในยุคแรกวิชาฝังเข็มใช้ปฏิบัติกันในวงจำกัด อยู่แต่ในดินแดนของจีนเท่านั้น ครั้นต่อมาเมื่อจีนได้มีการติดต่อค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่นๆ จึงได้มีการเผยแพร่ ศาสตร์แขนงนี้ออกไป

ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 วิชาฝังเข็มได้เริ่มเผยแพร่ไปยังประเทศ เพื่อนบ้านใกล้เคียงของจีนก่อนอันได้แก่ เกาหลีและญี่ปุ่น จากนั้นจึงแพร่หลายไปยังคาบสมุทรอินเดียและบรรดาประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังตัวอย่างเช่น

ในสมัยราชวงศ์ถังของจีน ได้มีการส่งแพทย์จีนไปเกาหลีและญี่ปุ่น เพื่อสอนวิชาการแพทย์แผนโบราณรวมทั้งวิชาฝังเข็ม ตลอดจนมีการจัดระบบสาธารณสุขและระบบองค์กรทางการแพทย์ที่เลียนแบบราชสำนักของจีน ทำให้วิชาฝังเข็มได้พัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แผนโบราณของเกาหลีและญี่ปุ่นไปด้วย

ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 มี่หยูน จากมลฑลกานซูของจีนได้นำเอา วิธีการฝังเข็มตามแบบหมอฮูโต๋ไปเผยแพร่ในภาคเหนือของประเทศอินเดีย

ในคริสต์ศตวรรษที่14 มีแพทย์ฝังเข็มคนหนึ่งของจีนชื่อ โจวยิน เดินทางไปรักษาโรคให้แก่บรรดาเชื้อพระวงศ์ของประเทศเวียดนาม สร้างความดีความชอบเป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้รับปูนบำเหน็จตำแหน่ง จากกษัตริย์เวียดนามเป็นการตอบแทน

ในคริสต์ศตวรรษที่10 การแพทย์ของจีนก็ได้แพร่หลายไปยัง ประเทศต่างๆทางแถบคาบสมุทรอาหรับตามการขยายตัวของเส้นทาง สายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมและการค้าสำคัญที่เชื่อมระหว่างซีกโลก ตะวันออกและซีกโลกตะวันตก

วิชาฝังเข็มเพิ่งเป็นที่รู้จักของชาวตะวันตกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 นี้เอง อันเป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคมที่ชาติมหา อำนาจตะวันตกได้เดินทางมายังโลกตะวันออก โดยบรรดาหมอสอนศาสนาและแพทย์ชาวยุโรปที่มารับจ้างทำงานในตะวันออกไกล ได้มีโอกาสเห็นวิธีการฝังเข็มรักษาโรคของหมอจีนและญี่ปุ่น เมื่อกลับไปประเทศตนเองก็นำเรื่องราวเหล่านี้ไปเผยแพร่ แพทย์บางคนยังได้ทดลองฝังเข็มรักษาผู้ป่วย และตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นอีกด้วย ทำให้การฝังเข็มเป็นที่รู้จักในหลายๆประเทศของยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ และอิตาลี เป็นต้น

ในระหว่างปี ค.ศ.1816 – 1825 ลุยส์ แบร์ลิโอซ์ (Louise Berlioz) และ ซาร์ลองดิแอร์(Sarlandiere) แพทย์ชาวฝรั่งเศส ได้นำเอาการฝังเข็ม มาใช้รักษาผู้ป่วยในหลายๆโรค เขาทั้งสองพบว่า การฝังเข็มสามารถใช้รักษาได้ผลดีในกลุ่มโรคที่มีอาการเจ็บปวดเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อกระดูกและ โรคปวดศีรษะไมเกรน

ซาร์ลองดิแอร์ยังได้ประยุกต์ต่อกระแสไฟฟ้าเข้ากับเข็ม เพื่อทดลอง รักษาให้กับผู้ป่วยอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำเนิดของ “การฝังเข็มกระตุ้นด้วย ไฟฟ้า” (Electroacupuncture) ครั้งแรกของโลก

ในเวลาต่อมา ข่าวสารการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มในยุโรป ก็ค่อยๆแพร่ไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งได้สร้างความสนใจให้แก่วงการแพทย์ใน สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเช่นเดียวกัน

เซอร์วิลเลียม ออสเลอร์ (Sir William Osler) ศาสตราจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งโรงเรียนแพทย์จอห์นฮอบกินส์ ที่ได้รับการยกย่องเป็น ปรมาจารย์ทางการแพทย์แผนตะวันตกในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ยังเคยแนะนำให้ใช้การฝังเข็มรักษาอาการปวดเอวให้แก่ผู้ป่วยมาแล้วเช่นกัน

วิธีการฝังเข็มที่บรรดาแพทย์ในยุโรปและอเมริกาปฏิบัติกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17–19 นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรักษาโรคที่มีอาการเกี่ยวกับความเจ็บปวดเกือบทั้งนั้น และที่ได้ผลดีก็มักจะเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ

ความจริงแล้ว วิธีการฝังเข็มของแพทย์ในยุโรปและอเมริกาสมัยนั้นจะแตกต่างไปจากที่แพทย์จีนทำเป็นอย่างมาก เพราะว่าในการฝังเข็มตามวิธีการแพทย์แผนโบราณของจีน จะต้องมีการวินิจฉัยโรคโดยใช้ทฤษฎีการแพทยืจีนเพื่อกำหนดจุดฝังเข็มและแผนการรักษา และยังต้องมีการกระตุ้นเข็มด้วยวิธีการต่างๆอีกหลายแบบตามสภาพโรค ของผู้ป่วยแต่ละราย จึงทำให้ผลการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มที่แพทย์ทางตะวันตกในยุคนั้นได้ทำไป ไม่ประสบผลเท่าที่ควร ประกอบกับในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 – 20 นั้นการแพทย์แผนปัจจุบันกำลังเจริญรุ่งเรือง

ดังนั้น ความนิยมในการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มทั้งในจีนและประเทศซีกโลกตะวันตกจึงค่อยๆลดน้อยลง คงเหลือปฏิบัติในวงจำกัดอยู่แต่ในเขตชนบทของประเทศจีนเท่านั้นเอง

ในทศวรรษปี 1930 วิชาฝังเข็มกลับมาได้รับความสนใจจากชาวตะวันตกในทวีปยุโรปอีกครั้งจากการเผยแพร่ของ จอร์จ ซูลี เดอ โมรองท์ (George Soulie de Morant)

ซูลี เดอ โมรองท์ เป็นนักอักษรศาสตร์ด้านภาษาจีน เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่กงศุลฝรั่งเศสประจำประเทศจีนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในระหว่างที่อยู่ในประเทศจีนนั้น เขาได้สนใจศึกษาวิชาฝังเข็มไปด้วย

ภายหลังเมื่อเดินทางกลับฝรั่งเศสในปีค.ศ.1928 ซูลี เดอ โมรองท์ ก็ได้นำเอาวิชาฝังเข็มไปเผยแพร่ กระตุ้นให้แพทย์บางส่วนในทวีปยุโรป หันมาสนใจค้นคว้าเรื่องการฝังเข็มอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม กระแสความสนใจของชาวตะวันตกต่อวิชาฝังเข็ม ในช่วงทศวรรษปี 1930 นี้ ก็ยังคงเป็นความสนใจในวงแคบๆอยู่นั่นเอง

หลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีค.ศ.1949 รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ได้มีสัมพันธไมตรีกับสหภาพโซเวียตและประเทศกลุ่มสังคมนิยมแถบยุโรปตะวันออกอย่างใกล้ชิด ทำให้วิชาฝังเข็มที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และแพร่หลายไปยังสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศทางยุโรปตะวันออก

ส่วนในทางยุโรปตะวันตก ทวีปอเมริกาและส่วนอื่นๆของโลกนั้น วิชาฝังเข็มยังคงถูกถือว่า เป็นศาสตร์แผนโบราณที่เป็นการรักษานอกระบบ ซึ่งปฏิบัติกันแต่ในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเลและวงการแพทย์บางส่วน ในวงแคบๆ เท่านั้นเอง

ต่อมาในต้นทศวรรษปี 1970 เมื่อจีนเริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศ จีนก็ได้เปิดเผยความก้าวหน้าของวิชาฝังเข็มให้ชาวโลกได้รับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ความสำเร็จเกี่ยวกับการระงับความเจ็บปวดในการผ่าตัดด้วยการฝังเข็มแทนการใช้ยาสลบหรือยาชา

เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งสหรัฐอเมริกาเดินทางไป เยือนจีนในเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ.1972 ข่าวสารเกี่ยวกับการฝังเข็มรักษาโรคของประเทศจีนก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว บรรดาประเทศต่างๆจากทุกภาคพื้นทวีปทั่วโลก ต่างก็สนใจและส่งคณะ ผู้แทนมาเยี่ยมชม กระทั่งมาศึกษาและฝึกฝนวิชาฝังเข็มจากประเทศจีน แล้วนำกลับไปเผยแพร่ในประเทศของตน ปัจจุบันนี้การฝังเข็มรักษาโรค ได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง 120 กว่าประเทศแล้ว รวมทั้ง ประเทศไทยเราด้วย

ในปีค.ศ.1975 องค์การอนามัยโลกได้ขอความร่วมมือจากจีน จัดตั้งศูนย์อบรมวิชาฝังเข็มให้แก่บุคลากรด้านสาธารณสุขจากประเทศต่างๆทั่วโลก ที่กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และนครนานกิง รวม 3 แห่ง และยังได้ดำเนินการมาโดยตลอดแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้

ในปีค.ศ.1979 องค์การอนามัยโลกได้จัดตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อบ่งชี้ในการฝังเข็ม พบว่า การฝังเข็มสามารถใช้รักษาได้ผลในหลายๆโรค โดยได้ประกาศรายชื่อโรคและอาการผิดปกติต่างๆที่แนะนำให้ใช้การฝังเข็มรักษาได้เป็นจำนวนถึง 43 โรค

ในปีค.ศ.1996 องค์การอนามัยโลกได้จัดการประชุมที่ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เพื่อทบทวนข้อบ่งชี้ของการฝังเข็มในการรักษาโรคต่างๆอีกครั้ง และได้ประกาศรายชื่อโรคและอาการต่างๆที่ สามารถฝังเข็มรักษาได้ เพิ่มมากขึ้นจากเดิมมาเป็น 64 โรค

เพื่อให้บรรลุคำขวัญที่ว่า “สุขภาพดีถ้วนหน้าปี 2000” ตามคำประกาศอัลมา–อัลต้าในปีค.ศ.1991 องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ เวชกรรมฝังเข็มเป็น 1 ใน 3 กิจกรรมสำคัญเกี่ยวกับการแพทย์พื้นบ้าน (Traditional medicine ) ที่องค์การอนามัยโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษและได้สรุปรายงานกิจกรรมการฝังเข็มเอาไว้ดังนี้

วิธีการรักษาโรคแบบพื้นบ้านส่วนใหญ่แล้วมักจะจำกัดอยู่ ในขอบเขตพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หนึ่งๆ แต่อย่างไรก็ตาม การฝังเข็ม กลับได้รับการนำเอาไปปฏิบัติทั่วโลก เนื่องจากมันปฏิบัติง่าย มีผล ข้างเคียงน้อยและประหยัด

ในเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1987 โดยการสนับสนุนขององค์การอนามัยโลก บุคลากรและองค์กรต่างๆทางด้านการฝังเข็มทั่วโลกได้ร่วมกัน ก่อตั้ง สมาพันธ์การฝังเข็มรมยาแห่งโลก ( World Federation of Acupuncture–Moxibustion Societies หรือ WFAS ) ขึ้น โดยมีที่ทำการของสมาพันธ์ อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

ในสหรัฐอเมริกานั้น ถึงแม้ว่าชาวอเมริกันจะรู้สึกตื่นเต้นและทึ่งต่อการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มเป็นอย่างมาก แต่การฝังเข็มก็มิใช่จะได้รับการยอมรับอย่างง่ายๆ ในตอนแรกวงการแพทย์อเมริกันมองว่า การฝังเข็ม ยังเป็นแค่ “การทดลอง” ที่ต้องศึกษาวิจัยให้ชัดเจนเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวอเมริกันได้ไปทดลองฝังเข็ม พวกเขาก็พบว่ามันสามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพของพวกเขาได้จริงๆ ขณะที่แพทย์แผนตะวันตกไม่สามารถ แก้ไขปัญหาให้แก่พวกเขาได้ การฝังเข็มจึงค่อยๆได้รับความนิยมจาก ชาวอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยเหตุนี้เอง ในปีค.ศ.1996 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ( Food and Drug Administration ) จึงได้ประกาศรับรองให้ถือว่า เข็มที่ใช้ในการฝังเข็มนั้นจัดเป็น “อุปกรณ์ทางการแพทย์” ไม่ใช่ “อุปกรณ์ทดลอง” อีกต่อไป สามารถนำเอามาใช้ได้ทั่วไปโดยแพทย์ทางเวชกรรมฝังเข็ม และถือเป็นการรักษาทางการแพทย์ที่เบิกค่าทดแทนจากบริษัท ประกันชีวิตและสุขภาพได้

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีค.ศ.1997 สถาบันสุขภาพแห่งชาติของ สหรัฐอเมริกา หรือ NIH ( National Institutes of Health ) ได้จัดประชุมครั้งพิเศษ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการแพทย์สาขาต่างๆจำนวน 25 คน เสนอ รายงานต่อผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 1,200 คนเป็นเวลา 2 วันครึ่ง ซึ่งที่ประชุมได้สรุปรายงานการประชุมและยอมรับว่า " การฝังเข็มมีประโยชน์สามารถใช้รักษาโรคบางอย่างได้ผลจริง เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียนจากยาเคมีบำบัดที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง โรคอัมพาต โรคปวดกล้ามเนื้อ โรคปลอกเอ็นข้อมืออักเสบ ปวดหลัง ปวดศีรษะและ การติดยาเสพติด เป็นต้น"

จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้ วิชาฝังเข็มมิใช่เป็นศาสตร์โบราณอีกต่อไปแล้ว หากเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์แขนงหนึ่งที่ได้เผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับไปทั่วทุกมุมโลก ซึ่งทั้งนี้ก็เพราะว่า มันมีศักยภาพในการรักษาโรคที่แน่นอนนั่นเอง



พัฒนาการเวชกรรมฝังเข็มในประเทศไทย

ถึงแม้ไทยและจีนจะมีความสัมพันธ์ติดต่อกันมานาน หากนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็เป็นเวลา 700 กว่าปีแล้ว แต่จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ เมื่อนับย้อนหลังจาก พ.ศ.2515 ขึ้นไปแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีการเผยแพร่วิชาฝังเข็มในประเทศไทยที่ “กว้างขวางและจริงจัง” มาก่อนเลย

จาก “ ตำราพระโอสถพระนารายณ์ ” และจดหมายเหตุของลาลูแบร์มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น ได้มีการแพทย์แผนโบราณจีนเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยแล้วอย่างแน่นอน แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า ไม่ปรากฏบันทึกที่กล่าวถึงการฝังเข็มรักษาโรคเลย

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้มีการเผยแพร่วัฒนธรรมจีนเข้ามาในประเทศไทยอย่างมาก กระทั่งในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงการฝังเข็มเช่นกัน

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเกิดจาก

ประการแรก การแพทย์แผนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียเป็น สำคัญมากกว่าที่จะมีรากฐานมาจากการแพทย์แผนจีน ดังนั้น แนวคิดทฤษฎี การวิเคราะห์และรักษาโรคจึงอิงไปตามอินเดีย โดยเฉพาะตามหลักของ ศาสนาพุทธ วิธีการรักษาโรคจึงประกอบด้วย การใช้ยาสมุนไพรและการ นวดดัดร่างกาย เป็นสำคัญ ต่างไปจากเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการเผย แพร่วิชาการแพทย์มาจากจีนโดยตรง การแพทย์ของเกาหลีและญี่ปุ่นจึงมี การฝังเข็มประกอบร่วมด้วยให้เห็นอย่างชัดเจน

ประการที่ 2 ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางเป็นต้นมานั้น ตรงกับสมัยราชวงศ์ชิงของจีน อันเป็นยุคที่การฝังเข็มเริ่มเสื่อมความนิยม ลงมาแล้วโดยตลอด จนกระทั่งถูกยกเลิกไปในสมัยจักรพรรดิเต้ากวงเมื่อ ปีค.ศ.1822 ( ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่2 ) ดังนั้นโอกาสที่จะมีการนำเอา วิชาฝังเข็มมาเผยแพร่อย่างกว้างขวางนั้น จึงย่อมมีความเป็นไปได้น้อยลง

อย่างไรก็ตาม การนำเอาวิธีการฝังเข็มเข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะมีมานานอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่า 50 ปีก่อน เพราะ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็พอเห็นมีแพทย์จีนแผนโบราณย่านเยาวราช ทำการฝังเข็มรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยอยู่ประปรายบ้างแล้ว

การฝังเข็มที่เผยแพร่สู่ประเทศไทยในยุคแรกนั้น จึงเป็นไปในลักษณะส่วนตัว โดยแพทย์แผนโบราณจีนที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้นำเอาเข็มติดตัวมาด้วย การฝังเข็มรักษาโรคจึงเป็นที่รู้จักกันแต่ในวงแคบๆเฉพาะหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล และยังมีกลิ่นไอของการแพทย์แผนโบราณอย่างเต็มตัว ซึ่งคงมีคนไทยน้อยรายที่จะ ยินยอมเข้าไปรักษาด้วย

ในระหว่างปีพ.ศ.2508-2522 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือพคท.ได้ทำสงครามต่อสู้กับรัฐบาล พลพรรคของพคท.ได้นำเอาวิชาฝังเข็มมาใช้รักษาโรคต่างๆ ให้แก่ทหารและประชาชนที่อยู่ในเขตสู้รบและบริเวณใกล้เคียง ทำให้การฝังเข็มเป็นที่รู้จักของประชาชนไทยบางส่วนที่อยู่ในชนบทห่างไกล แต่ก็เป็นการเผยแพร่ที่จำกัดในวงแคบๆอยู่เช่นกัน

เมื่อจีนดำเนินนโยบายเปิดประเทศในช่วงทศวรรษปี 1970 และ เมื่อประธานาธิบดีนิกสันแห่งสหรัฐอเมริกาได้เดินทางไปเยือนประเทศจีน เพื่อเปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2515 ข่าวสาร เกี่ยวกับประเทศจีนก็ได้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก เป็นกระแสที่ประเทศไทยเองก็ได้รับเข้ามาโดยปริยาย เรื่องราวเกี่ยวกับการฝังเข็มจึงเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนไทยอย่างกว้างขวางในระดับทั่วประเทศเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้น มีคณะตัวแทนต่างๆจากประเทศไทยทะยอยกัน เดินทางไปเยือนประเทศจีนเป็นระยะๆ อาทิเช่น คณะนักกีฬาปิงปองไทย แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นต้น เมื่อคณะตัวแทนเหล่านี้ได้เดินทาง กลับมา ก็นำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับการฝังเข็มมาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ รับทราบกันมากยิ่งขึ้น

ศาตราจารย์นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา อาจารย์แพทย์อาวุโสแห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เขียนบทความเล่าใน “จุฬาลงกรณ์เวชสาร” ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.2516 เรื่อง “การรักษาโรคด้วยวิธีฝังเข็ม” หลังจาก ที่ได้ไปเยือนประเทศจีนเอาไว้ว่า

“ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เข็มที่ปักที่ขาจะทำให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บจน ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ที่คอได้ หรือเข็มที่ปักที่ขานั้นทำให้อาการปวด ท้องหายไปหรือทำให้ตับทำงานดีขึ้น ”

ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกวิชาฝังเข็มในประเทศไทยในระยะนี้ได้แก่ ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงคุณหญิง สลาด ทัพวงศ์ ซึ่งท่านได้เดินทางไปเรียนวิชาฝังเข็มจากประเทศจีน แล้วกลับมาตั้งแผนกฝังเข็มและระงับความเจ็บปวดขึ้นที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อพ.ศ.2517 โดยมี รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงลัดดาวัลย์ สุวรรณกิตติ เป็นหัวหน้าแผนก นับเป็นการนำเอาวิชาฝังเข็มเข้ามาสู่ระบบการแพทย์แผนปัจจุบันเป็น ครั้งแรกของประเทศไทย

ภายหลังที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยและจีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ในสมัยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตลอดจนความร่วมมือในด้านต่างๆระหว่างประเทศทั้งสองก็มากขึ้นเป็นลำดับ

ต่อมาจึงได้มีแพทย์ไทยโดยเฉพาะวิสัญญีแพทย์ เดินทางไปฝึกอบรมวิชาฝังเข็มจากประเทศจีน และได้กลับมาเปิดบริการรักษาโรคให้แก่ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆหลายแห่ง รวมทั้งมีการรักษาตามคลินิกหมอจีนที่มีอยู่ ประปรายในย่านชุมชนชาวจีน การฝังเข็มจึงค่อยๆแพร่หลายออกไปในหมู่ ประชาชนชาวไทย

กระทรวงสาธารณสุขของไทยก็เล็งเห็นประโยชน์ของวิชาฝังเข็มที่จะเอามาใช้รักษาโรคให้แก่ผู้ป่วย โดยได้มีการจัดอบรมให้แก่บุคลากร ทางสาธารณสุขอยู่เป็นระยะๆเช่น การจัดอบรมวิชาฝังเข็มโดยกรมการแพทย์ เมื่อปี พ.ศ. 2534 และ พ.ศ. 2535

ตั้งแต่พ.ศ.2540 เป็นต้นมา การฝังเข็มได้รับความนิยมเอามาใช้เป็นวิธีการลดน้ำหนักจนกลายเป็นธุรกิจด้านเสริมความงามอย่างหนึ่ง ก่อให้เกิดปัญหาการให้บริการที่ไม่ได้มาตรฐานและยังเก็บค่ารักษาบริการที่สูงเกิน กระทรวงสาธารณสุขโดยความร่วมมือจากรัฐบาลจีน โดยมีนายแพทย์ชวลิตสันติกิจรุ่งเรือง และศาสตราจารย์เฉิงจื่อเฉิง เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง ได้จัดอบรมแพทย์ฝังเข็มขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้ประกาศปรัชญาในการ ฝึกอบรมแพทย์วิชาฝังเข็มเอาไว้ว่า

“ เพื่อพัฒนาแพทย์ให้สามารถใช้และพัฒนาวิชาฝังเข็มมา เป็นการแพทย์ทางเลือกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย สะดวกและประหยัด สำหรับประชาชนชาวไทยและร่วมเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพัฒนา คุณภาพชีวิตประชาชนไทยสู่เป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้า ”

พัฒนาการของวิชาฝังเข็มในประเทศไทยขณะนี้ยังถือว่าช้ามาก เมื่อเทียบกับประเทศทางตะวันตก ทั้งๆที่มีบุคลากรไปศึกษาจากจีนในช่วง ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน เรายังขาดแคลนบุคลากรด้านเวชกรรมฝังเข็ม ที่มีคุณวุฒิ งานการวิจัยวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเวชกรรมฝังเข็มยังมีน้อยและ ยังไม่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์แผนปัจจุบันเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังมี ปัญหาในด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างองค์กรต่างๆ และปัญหาประชาชนผู้บริโภคไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน เป็นต้น

เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนได้รับการรักษาด้วยการฝังเข็มที่ถูกต้องตามมาตรฐานหลักวิชาทางการแพทย์ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยเราจึงได้มีกฎหมายกำหนดให้ ผู้ที่จะประกอบวิชาชีพเวชกรรมฝังเข็มได้นั้น จะต้องเป็นแพทย์ที่ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขของไทยเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีจำนวนประมาณ 800 กว่าคนในทั่วทั้งประเทศ โดยได้มีการก่อตั้งเป็นสมาคมแพทย์ฝังเข็มและสมุนไพรแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์การฝังเข็มรมยาแห่งโลกด้วย และได้มีการดำเนินกิจกรรมทั้งทางบริการและวิชาการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ทำให้การฝังเข็มได้เป็นที่ยอมรับและแพร่หลายต่อประชาชนและวงการแพทย์ไทยเราอย่างกว้างขวาง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ซึ่งคาดได้ว่า แนวโน้มในอนาคตข้างหน้านั้น การฝังเข็มในประเทศไทยคงจะพัฒนาและแพร่หลายออกไปมากขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน

Source:http://www.yanhee.co.th/yhh/th/altn/thaiacupuncture/history.htm

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงใหลตัวเอง

โดย ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ที่วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข ทุกๆ เช้าเวลาตีห้า ไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะอรุโณทัยฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสากลโลก ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น มีความสุข นี่คือผลงานของฉัน

ทุกๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นเสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก

ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย เช้าตรู่วันนั้นไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้นก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ
“พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม”
ไก่พ่อซึ่งเป็นซีอีโอ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก
“น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ”
เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย

เช้าตรู่วันนั้นทั้งๆ ที่ป่วย ไก่ซีอีโอตัวนี้ก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราดๆ ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นด่วน ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า

“เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค ฉะนั้นขอให้เธอและลูกดูแลบริษัทของเราให้ดีๆ ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันดีๆ นะที่รัก”

เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่าวันรุ่งขึ้น พอไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม

ฉะนั้น ผู้บริหาร พนักงานทุกคน ทุกอาชีพ เมื่อเราบริหารงาน ทำงาน ไปได้ระดับหนึ่งแล้ว อย่าหลงตัวเองว่าองค์กรนั้นถ้าขาดฉันแล้วไปต่อไม่ได้ ควรเตือนตัวเองเอาไว้บ่อยๆ ว่า ถ้าขาดฉันแล้วมันจะไปได้ดี เพื่อจะได้ไม่หลงตัวเอง

ผู้บริหาร และผู้ทำงาน จำนวนมาก ทันทีที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวในวันนั้น เพราะทันทีที่ประสบผลสำเร็จก็เริ่มหลงตัวเอง
และนี่แหละคือจุดจบของผู้บริหาร ฉะนั้นจำนิทานเรื่องนี้ไว้ วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จ ก็อย่าไปหลงตัวเองว่าเราต้องเป็นหนึ่งในตองอูเท่านั้น จนไม่ยอมบริหารจัดการอำนาจความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นเลย

ผู้บริหารที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่แบกหนักที่สุด ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่แบกหนักพอสมควร และกระจายภาระให้คนอื่นแบก และประการสำคัญที่สุด ผู้บริหารจะไม่ทำงานจนป่วยตาย

จากผู้เขียน ข้อคิดนี้มิใช่ใช้ได้กับผู้บริหารเท่านั้น ยังใช้ได้กับ ทุกหมู่เหล่าอาชีพ เพียงแต่อย่าคิดหลงเข้าข้างตัวเองว่า "ขาดฉันแล้ว เขาอยู่ไม่ได้" เพราะที่ผ่านมา เมื่อวันใดขาดใครไปเมือใด วันรุ่งขึ้นก็จะมีคนใหม่มาแทนที่ทันที ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีใตรคิดถึงอดีต อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงใหลตัวเอง

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

“การละวางตัวตน” เรียนรู้เพื่อเป็นมนุษย์ที่แท้

โดย : ทวีศักดิ์ สุวรรณชะนะ ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

นักวิจัยศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ถ่ายทอดแง่คิดความรู้จากเวทีเสวนาจิตตปัญญาศึกษา สะท้อนความเป็นจริงของ "เบ้าหลอมเยาวชนไทย"

การศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ต่างมุ่งเน้นความสำเร็จเฉพาะตัวของผู้เรียนมากจนเกินไป ทำให้ในห้องเรียนมีการแข่งขันสูงมาก ส่งผลให้ผู้เรียนขาดน้ำใจต่อกัน นานวันเข้าก็กลายเป็นคนที่ขาดความรักความเมตตาต่อผู้อื่น

ชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบันซึ่งเป็นผลงานของการศึกษาเช่นนี้ จึงเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง ขาดชีวิตชีวา และไม่มีเวลาที่จะชื่นชมความงามของชีวิต... นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษาแล้วหรือ

การจัดกระบวนการเรียนรู้ในปัจจุบันมักมุ่งเน้นการพัฒนาสมองซีกซ้ายเป็น หลัก คือเน้นที่ตรรกะ เหตุผล และความรู้ โดยละเลยสมองซีกขวา ซึ่งเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ดังที่โอโช นักปรัชญาอินเดียที่มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อโลกตะวันตกในปลายศตวรรษที่ผ่านมากล่าวว่า คนเรามีความคิด 2 แบบ แบ่งตามการทำงานสมอง

สมองซีกซ้ายเป็นความคิดเกี่ยวกับความสามารถทางด้านเทคนิค จักรกล เหตุและผล ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ ความเฉลียวฉลาด และความมีระเบียบวินัย สมองซีกนี้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ทันทีหลังจากผ่านการเรียนรู้แล้ว และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีความสมบูรณ์แบบ

ส่วนสมองซีกขวามีคุณสมบัติตรงกันข้าม เป็นสมองแห่งความไร้ระเบียบ ไร้รูปแบบ เป็นสมองแห่งบทกวีก็ มิใช่ร้อยแก้ว เป็นสมองแห่งความรัก มิใช่เหตุผล สมองส่วนนี้จึงไวต่อความรู้สึก ความสวยงาม เป็นสมองที่มองเห็นสิ่งที่เป็นต้นแบบ มิใช่ประสิทธิภาพ นักสร้างสรรค์ไม่สามารถมีประสิทธิภาพสูงได้ แต่พวกเขาจักต้องทดลองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ

การศึกษาดัง ที่เป็นอยู่ จึงส่งเสริมให้เกิดความยึดถือในเหตุผล (ของฉัน) และความรู้ (ของฉัน) ซึ่งก็คือความยึดถือในตัวตน (ของฉัน) อย่างเลี่ยงไม่ได้ และตามมุมมองของพุทธศาสนา ความยึดถือในตัวตนนี่เองคือบ่อเกิดสำคัญของความทุกข์ โดยท่านแบ่งไว้เป็น 4 แบบ แบบแรกคือ ความยึดมั่นในกามสุข คื การเสพติดกับความอยากหรือตัณหา เมื่อไหร่ที่ความอยากได้รับการตอบสนอง เราก็จะสร้างความอยากอย่างใหม่ขึ้นมาทันที สิ่งสำคัญที่สุดที่เราแสวงหามิใช่วัตถุที่เราอยากได้ แต่เราแสวงหาเพื่อคงความอยากเอาไว้ตลอดเวลา

แบบที่สอง ความยึดมั่นเกี่ยวกับ “ฉัน” หรืออัตตา หรือภาพของตัวเองที่เราวาดไว้ในใจ สำหรับทุกคนนั้น “ฉัน” คือคนสำคัญที่สุดในโลก เราพยายามทำทุกอย่างให้โลกเป็นอย่างที่เราต้องการ แบบที่สาม ความยึดมั่นในความคิด ความเชื่อของเราว่าดีที่สุด และไม่สบอารมณ์หากมีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ แบบที่สี่ ความยึดมั่นในรูปแบบของศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ โดยเน้นที่เปลือกนอกมากกว่าสาระอันแท้จริงของศาสนา และเฝ้าแต่คิดว่าผู้ที่ไม่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาไม่ใช่ศาสนานิกที่แท้

จางจื้อ นักปราชญ์ชาวจีน ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการละวางตัวตน ว่าเป็นหนทางนำไปสู่การเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ หรือหนทางแห่งเต๋า ซึ่งเป็นหนทางที่นำพามนุษย์เข้าถึงความจริง ดังนั้นมรรควิถีในการฝึกฝนตนเองเพื่อนำไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ตามแนวทาง ของจางจื้อก็คือ การละวางความยึดถือในตัวตน โดยการไม่ยึดติดกับศาสตร์หรือความรู้ ประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อ หรือแม้กระทั่งสถานภาพทางสังคม ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตอย่างอิสระ สามารถเปิดรับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่รู้สึกหวั่นพรั่นพรึงแม้กระทั่งความตาย

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเราพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ด้วยความสงบ ผ่อนคลาย และใจที่เป็นกลาง นั่นก็คือสภาวะที่เปิดรับและพร้อมเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง จนสามารถเข้าใจความจริงของกฎธรรมชาติที่ว่า โลกและสรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงได้

ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวถึงต้นกำเนิดของ “ตัวกู-ของกู” ว่าคือ “อวิชชา” เหมือนกับสัตว์โลกทั้งหลายที่อยู่ใต้กะลาครอบ ถูกปิดบังลูกตาไม่ให้เห็นหรือรู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง อวิชชานั้นไม่ได้หมายถึงไม่รู้อะไรเลย แม้จะมีความรู้มากมายและก้าวหน้ามากเพียงไร แต่ในที่สุดก็เข้าทำนอง “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” และจมน้ำแห่งความรู้ตาย โดยความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นเครื่องกีดขวางและครอบงำตัวเราเอง ไม่ให้เปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆ จนไม่สามารถเข้าถึง “ปัญญา” หรือการเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง และเข้าถึงความจริง ความดี ความงาม ของชีวิตได้

สภาวะการยึดติดในตัวตน จะทำให้เกิดแข็งขืน ต่อต้าน และปฏิเสธสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อต้องต่อสู้และต่อต้านมากๆเข้า ก็จะกลายมาเป็นความโกรธ หงุดหงิด ขุ่นเคือง ซึ่งก็คืออาการปกป้องตัวตน และยิ่งปกป้องตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เหมือนกับเราค่อยๆ สร้างกำแพงบางๆ ขึ้นพอกตัวตนของเราทีละชั้น นานวันเข้า มันก็ยิ่งหนามากขึ้น จนกลายกำแพงที่ใหญ่โตจนยากที่จะทลายออกได้

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า มนุษย์ทั่วโลกล้วนมีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกเดียวกัน ราวกับว่าเป็นมนุษย์คนเดียวกัน และมีศัตรูที่จะต้องกำจัดร่วมกันเพียงสิ่งเดียวคือ สิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู-ของกู” หรือในศัพท์ของพุทธศาสนาเรียกว่า “อัสมิมานะ” คำว่า อัสมิ แปลว่า “ข้าพเจ้ามีอยู่” มานะ แปลว่า “ความสำคัญมั่นหมายในทางจิตใจ” รวมแล้วแปลว่า “ความสำคัญว่าตัวฉันมีอยู่” ซึ่งตรงกับคำว่า “Egolism” และ “อหังการ” ซึ่งมีตัวตนของตนเองอยู่ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางหรือประธานของความรู้สึก ต่างๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น

การฝึกฝนพัฒนาจนสามารถละวางหรือไม่ยึดติดในตัวตน จึงเป็นหนทางที่ทำให้เกิดการพัฒนาสมองซีกขวาตามทัศนะของโอโช และสอดคล้องกับมรรควิธีในการฝึกฝนตนเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่แท้ ตามทัศนะของจางจื้อ และเป็นทางสู่นิพพานตามทัศนะของท่านพุทธทาส ดังนั้นเป้าหมายในการจัดกระบวนการเรียนรู้หรือฝึกฝนตัวเองตามหลักศาสนธรรม ทางตะวันออก จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อ “การละวางความยึดถือในตัวตน” ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับเป้าหมายในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษาทั่วไปในปัจจุบัน ที่มุ่งเสริมเสริมให้เกิด “ความยึดถือในตัวตน”

ดังนั้น การละวางความยึดถือในตัวตน จึงเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานที่สำคัญซึ่งเกิดจากภายในของตัว มนุษย์ เพราะเป็นภาวะที่เราหลุดพ้นไปจากมุมมองที่คับแคบที่ไม่ได้ยึดเอาตัวเองเป็น ศูนย์กลางของโลกสรรพสิ่ง ทำให้จิตหลุดพ้นจากความคับแคบในตัวเองไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติซึ่งเป็นอนันต์ เป็นอิสระ และมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ประชา หุตานุวัตร ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ทางเลือกในสังคมไทยมายาวนาน โดยใช้กระบวนทัศน์พุทธธรรมเป็นตัวตั้งของชีวิต กล่าวว่า เป้าหมายหลักของการศึกษาต้อง เป็นเป้าหมายเดียวกับพุทธธรรม คือผลิตคนให้รู้จักตนเอง รู้แผนที่และทักษะที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมีหลักการคือ วิถีชีวิตและการทำงานคือการศึกษา การตัดสินใจคือการศึกษา สัมพันธภาพคือการศึกษา การฝึกฝนจิตเพื่อลดตัวตนคือการศึกษา การยับยั้งตนเองไม่ให้ทำร้ายชีวิตตนและผู้อื่นคือการศึกษา จึงเป็นการศึกษาแบบองค์รวมที่เกี่ยวข้องกับความคิด ร่างกาย และจิตวิญญาณ โดยผสมผสานอย่างกลมกลืนระหว่างการทำงาน การเล่น และการเรียน

ส่วนโอโชมองว่า ต้องเติมบทกวี ความรัก และความสับสนอลหม่านลงไปในห้องเรียน การจัดกระบวนการเรียนรู้จึงต้องมีความหลากหลาย และประกอบด้วยปัจจัยเงื่อนไขทั้งภายในภายนอก เพราะชีวิตของมนุษย์เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของความรักและความผูกพัน ที่โยงใยกันด้วยความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนสวยงาม จึงควรเพิ่มกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง โดยเฉพาะการเรียนรู้เรื่องอารมณ์ ความรู้สึก หรือการบ่มเพาะความงดงาม ความรัก และความเมตตา ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยการบอกเล่าจากผู้อื่น การท่องจำ หรือการคิดเชิงเหตุผล แต่เกิดจากการที่ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงที่ช่วยเปิดให้พื้นที่ความงดงามได้ ออกมาโลดแล่น

การออกแบบกระบวนการเรียนรู้เช่นนี้ทำได้หลายวิธี เช่น จัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนไปพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้ป่วยใกล้ตาย ไปเยี่ยมคนทุกข์ยากในชนบท ไปทำงานอาสาสมัคร ทำงานรับใช้ผู้อื่น กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเปิดพื้นที่ให้เมล็ดพันธุ์ที่มีความงดงามในจิตใจขอผู้ เรียนได้โผล่ปรากฎ ซึ่งเป็นศักยภาพภายในที่มีอยู่แล้ว แต่เขาอาจไม่เคยสัมผัสแง่มุมเหล่านี้ของตัวเองมาก่อน

เมื่อผู้เรียนมองเห็นศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่มีในตัวเอง ก็จะสามารมองเห็นความงามที่อยู่ในบุคคลอื่นๆ และสามารถมองเห็นว่า จริงๆ แล้วมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่งดงาม เมล็ดพันธ์แห่งความรัก ความเมตตา ต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติแวดล้อม ก็จะหยั่งรากฝังลึกลง และสามารถเติบโตจนกลายเป็นความสุขที่แท้จริง เมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพภายในของตนเอง จนนำไปสู่การละวางความยึดถือในตัวตนลงได้

(ดัดแปลงจากบทความวิชาการที่จะนำเสนอในการประชุมวิชาการประจำปีจิตตปัญญา ศึกษา ครั้งที่ 3 “ความสุขกับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของมนุษย์” วันที่ 1-3 ธ.ค. 2553 โรงแรมรามาการ์เด้นท์ ดูรายละเอียดการประชุมเพิ่มเติมที่ www.ce.mahidol.ac.th หรือ โทร. 02-441 5000 ต่อ 4303-5, 085-331 6482 )

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20101127/364914/“การละวางตัวตน”-เรียนรู้เพื่อเป็นมนุษย์ที่แท้.html

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

มายาแห่งหลอดด้าย....

โดยท่าน ว . วชิรเมธี


สองสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนจาริกปฏิบัติศาสนกิจในฐานะพระธรรมทูต ที่ มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งหลังจบการเสวนาธรรม สตรีสูงอายุคนหนึ่งขอโอกาสเข้ามานั่งคุยกับผู้เขียน ระหว่างการสนทนา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่า น้ำตาเธอคลอหน่วย
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ เธอ จึงตอบว่า ที่น้ำตาคลอหน่วย เพราะรู้สึกดีใจที่ได้มาฟังธรรม แต่พร้อมกันนั้นก็เสียใจจนสะเทือนใจ ที่สะเทือนใจก็เพราะเธอรู้สึกว่า ตนเองได้พบกับ ธรรมะเมื่ออายุมากแล้ว จึงรู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เธอเล่าว่า

"ชีวิตคนเรา ก็ เหมือนกับเส้นด้ายที่ถูกดึงออกมาจากหลอดด้ายทีละนิดๆ ขณะที่ดึงด้ายออกมาจากหลอดด้ายนั้น บางทีเราก็รู้สึกกระหยิ่มว่า ยังมีด้ายเหลืออยู่อีกมากมาย จึงชะล่าใจที่จะดึงด้ายออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่พบ ว่าแท้จริงแล้ว มีด้ายอยู่เพียงนิดเดียว เย็บผ้าได้เพียงนิดหน่อยก็หมด หากแต่ที่เราเห็นว่า ยังคงมีด้ายเหลืออยู่เยอะแยะนั่นเป็นเพราะว่า

แกนด้ายมันใหญ่ต่างหาก...แกนด้ายมันหลอกตาให้ เราพลอยชะล่าใจ... "

พลันที่เธอเล่าจบ ผู้เขียนก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในใจ

ผู้หญิงคนนี้ เธอไม่ได้มาฟังเทศน์เสียแล้ว แต่เธอมาเทศน์ต่างหาก

เธอกำลังเทศน์เรื่อง "ความสำคัญของเวลา" และ " คุณค่าของชีวิต"
เคยได้ยินคำพูดในทำนองนี้บ่อยๆ ว่า เรามีเวลา ๒๔ ชั่วโมงต่อหนึ่งวันเท่ากัน ทว่า
เราได้ประโยชน์จากเวลาไม่เคยเท่ากัน

สำหรับบางคนเวลา ๒๔ ชั่วโมงช่างแสนสั้น แต่สำหรับบางคน ๒๔ ชั่วโมง ช่าง
เป็นเวลายาวนานเหลือแสน

ผู้หญิงคนนี้เธอบอกว่า เธอเสียดายที่มีเวลาเหลืออีกไม่มาก อยากจะปฏิบัติธรรม
ให้ถึงที่สุดก็เกรงว่าเวลาจะมีไม่พอ

ผู้เขียนจึงบอกว่า การ ปฏิบัติธรรมนั้นไม่สำคัญที่เวลา แต่สำคัญที่ "ปัญญา" สำหรับคนมีปัญญากล้าแข็ง อย่าว่าเป็นวันเลย บางที นาทีเดียวก็บรรลุธรรมได้ สำหรับคนเขลา ต่อให้ภาวนาทั้งชีวิต บางทีก็ยังไม่เห็นผล คนที่อยู่ในวัยสนธยา จึงไม่ควรน้อยใจว่า เรามีเวลาไม่พอ แต่ควรจะบอกตัวเองว่า เรายัง " พอมีเวลา" ต่างหาก

แต่คนที่คิดว่าเรายัง "พอมีเวลา" ก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีการคิดด้วย ท่าทีที่เป็นบวกอย่างนี้ ก็ทำให้ประมาท และเป็นเหตุให้พลาดโอกาสที่จะเร่งรัดทำสิ่งดีๆ

ดังนั้น นอกจากจะคิดว่ายังพอมีเวลาแล้ว ก็ควรจะคิดเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า " วันนี้เป็น วันสุดท้ายของชีวิต" ด้วย เพราะหากเราคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ต้องทำแข่งกับเวลา และนั่นจะทำให้ เวลา กลายเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด ของชีวิตได้ในทุกๆ วัน

เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่ บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า เพราะเมื่อคุณฆ่าสัตว์ หากสำนึกได้ คุณ ก็อาจจะไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ แต่หากคุณฆ่าเวลาด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงแม้คุณจะ สำนึกผิด กลับมาเห็นคุณค่าของเวลา ทว่าก็ไม่สามารถย้อนเวลาที่ผ่านไปแล้วให้ หวนคืนกลับมาได้อีก เราทุกคนต่างก็มีเวลาที่ไม่อาจรีไซเคิล ไม่ว่าคุณจะมีเงิน มหาศาลสักกี่ล้านล้านดอลล่าร์ก็ตามที สำหรับเวลานั้น ผ่านแล้ว ผ่านเลยนิรันดร์

ครั้งหนึ่งลีโอ ตอลสตอย เคยเขียนปริศนาธรรมไว้ว่า
" ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานที่สำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด"

ตอลสตอยตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง และในที่สุดก็เฉลยว่า

" คนสำคัญที่สุด ก็คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด ก็คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี ้
เวลาที่ดีที่สุด ก็คือ เวลาปัจจุบันขณะ"

ทำไมคนที่อยู่เบื้องหน้าเราจึงสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ อาจเป็นไปได้ว่า ในชั่วชีวิต อันแสนสั้นนี้ เรากับเขาอาจมีโอกาสพบกันได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นเราจึงควรทำให้การพบกันทุกครั้ง เป็นเหมือนการเฉลิมฉลองอันแสนวิเศษที่ต่างฝ่ายต่างควร สร้างความทรงจำแสนงามไว้ให้แก่กันและกันตลอดไป

เราต้องไม่ลืมว่า มนุษย์นั้น รู้เกลียดยาวนานกว่ารู้รัก หากการพบกันครั้งแรกนำมาซึ่งความรัก และหากเป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวของ ชีวิตในอนันตจักรวาล นั่นก็นับว่า เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดแล้วสำหรับการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนสองคน

ทำไมงานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้ จึงเป็นงานสำคัญที่สุด คำตอบก็คือ เพราะทันทีที่คุณ ปล่อยให้งานหลุดจากมือคุณไป งานก็จะกลายเป็นของสาธารณ์ หากคุณทำงานดี มัน ก็คือ อนุสาวรีย์แห่งชีวิต และหากคุณทำงานไม่ดี มันก็คือ ความอัปรีย์แห่งชีวิต

ตอนแรกคุณเป็นผู้สร้างงาน แต่เมื่อปล่อยงานหลุดจากมือไปแล้ว

งานมันจะเป็นผู้ย้อนกลับมาสร้างคุณ

ทำไมเวลาที่ดีที่สุด จึงควรเป็นปัจจุบันขณะ คำตอบก็คือ เพราะเวลาทุกวินาทีจะไหล ผ่านชีวิตเราเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะหวงแหนเวลาขนาดไหน มีเงินมากเพียงไร ก็ไม่มีใครสามารถรื้อฟื้นเวลาที่ล่วงไปแล้วให้คืนกลับมาได้

ทุกครั้งที่เวลาไหลผ่านเราไป หากเราไม่ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชีวิตของคุณ ก็พร่องไปแล้วจากปวงประโยชน์มากมายที่คุณควรได้จากห้วงเวลา

เวลาไม่มีตัวตน แต่หากเรามีปัญญา ก็สามารถสร้างคุณค่าที่เป็นรูปธรรมจากเวลาได้อเนกอนันต์

คน...แม้มีตัวตนเห็นกันอยู่ชัดๆ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต่อเวลา ถึงมีตัวตนเป็นคนอยู่แท้ๆ แต่ชีวิตก็อาจว่างเปล่ายิ่งกว่าเวลา

ทุกวันนี้ เราทุกคนกำลังสาวด้ายแห่งเวลาในชีวิตออกมาใช้กันอยู่ทุกขณะจิต เคยคิด กันบ้างหรือไม่ว่า เส้นดายแห่งเวลาในชีวิตของเรา เหลือกันอยู่สักกี่มากน้อย เราถนัดแต่สาวด้ายออกมาใช้ หรือว่าเราใช้เส้นดายแห่งเวลาอย่างมีคุณค่าที่สุดแล้ว?

บทสัมภาณ์ ยายยิ้ม จากคนค้นคน


พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเขาเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่้มเฟือย


พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก


พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเขาเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ


พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา


พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง.. ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น


พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง


พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข


พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข


พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย


พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก


พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย


พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน

ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)

ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ

ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย


พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ

ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)

พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก


พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา


พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว


พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่


พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

ลักษณะเด่นของพระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ถือ ได้ว่าเป็นปราชญ์คนสำคัญยิ่งคนหนึ่งในวงการของพระพุทธศาสนาในยุครัตน โกสินทร์เท่าที่ชาวพุทธได้รู้จักมา และถือได้ว่าอาจารย์สุชีพเป็นแบบอย่างชาวพุทธที่ดีเยี่ยม เป็นผู้ที่ทำอุปการะคุณอันยิ่งใหญ่ต่อวงการของพระพุทธศาสนามากมายเหลือสุดจะ คณานับ ชีวิตของท่านเป็นอยู่เพื่อพระพุทธศาสนาโดยแท้ นับได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลทางพระพุทธศาสนา อาจารย์สุชีพได้สรุปลักษณะเด่นๆ ของพระพุทธศาสนาไว้มี ๔๕ ข้อ เท่ากับจำนวนพรรษาที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนา ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญจะขอนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือ

๑. แม้จะตัดความเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ออก ก็ไม่ทำให้พระพุทธศาสนากระทบกระเทือนอะไรแม้แต่น้อย เพราะพระพุทธศาสนามิได้มีรากฐานอยู่บนฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ หากแต่อยู่ที่เหตุผลและคุณงามความดีที่พิจารณาเห็นได้จริงๆ

๒. พระพุทธศาสนาเป็นตัวอย่างลัทธิประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก มีหลักการและวิธีการอันทันสมัยอยู่จนทุกวันนี้

๓. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยสอนให้เลิกระบบทาส ไม่เอามนุษย์มาเป็นสินค้าสำหรับซื้อขาย ห้ามมิให้ภิกษุมีทาสไว้รับใช้ กับทั้งสอนให้เลิกทาสภายใน คือไม่เป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง

๔. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่สอนให้มนุษย์เลิกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน เพราะเรื่องถือชั้นวรรณะ เพราะเหตุแห่งชาติและวงศ์สกุล โดยตั้งจุดนัดพบกันไว้ที่ศีลธรรม ใครจะเกิดในสกุลสูงต่ำยากดีมีจนอย่างไรไม่เป็นประมาณ ถ้าตั้งอยู่ในศีลธรรมแล้ว ก็ชื่อว่าเป็นคนดีที่ควรยกย่องสรรเสริญ ถ้าตรงกันข้ามคือล่วงละเมิดศีลธรรมแล้ว แม้จะเกิดในสกุลสูงก็นับได้ว่าเป็นคนพาลอันควรตำหนิ

๕. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่สอนปฏิวัติเรื่องการทำบุญ โดยงดเว้นวิธีฆ่าสัตว์หรือฆ่ามนุษย์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หากสอนให้ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์แทนการเบียดเบียน และสอนให้หาทางชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดว่าเป็นบุญ

๖. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนลัดตัดตรงเข้าหาความจริง ให้กล้าสู้หน้ากับความจริง เช่นในเรื่องความเกิดแก่เจ็บตาย ให้หาประโยชน์จากความจริงนั้นให้ได้ รวมทั้งสอนอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องฤกษ์ยาม น้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น และการสอนให้เป็นเทวดาได้ในชีวิตนี้ โดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ด้วยการแสดงธรรมที่ประพฤติปฏิบัติตามแล้วจะเป็นเทวดาในปัจจุบันชาติ

๗. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้แก้ความเสื่อมทางศีลธรรม โดยไม่มองข้ามปัญหาด้านเศรษฐกิจ สอนให้แก้ความชั่วด้วยความดี และสอนให้แก้ที่ตัวเราเองก่อนโดยไม่คอยเกี่ยงให้คนทั้งโลกดีหมดแล้ว เราจึงจะดีเป็นคนสุดท้าย แม้ในการสอนให้มีเมตตาจิตก็หัดให้แผ่เมตตาในตนเองก่อนเพื่อจะได้เป็นพยานว่า เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น

๘. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้ถือธรรม คือความถูกต้องตามเหตุผลเป็นประมาณ ที่เรียกว่าธรรมาธิปไตย ไม่สอนให้ถือตนเองเป็นใหญ่ หรือสอนให้ถือคนอื่นเป็นใหญ่ หลักคำสอนเรื่องผู้เห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่าอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า คำสอนเรื่องอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา และการตั้งพระธรรมวินัยไว้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ของพระพุทธเจ้าก็เป็นการ สอนแบบธรรมาธิปไตยนี้

๙. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนเน้นหนักในเรื่องของสติปัญญาในการดำเนินชีวิต ให้รู้จักกำจัดความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยการพิจารณาให้เห็นต้นเหตุของความ ทุกข์ แล้วแก้ไขให้ถูกทาง ไม่ให้เชื่อถืออย่างงมงายไร้เหตุผล

๑๐. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้พึ่งตนเอง ในการประกอบคุณงามความดี โดยการยกระดับแห่งชีวิตของตนให้สูงขึ้น ไม่สอนให้คิดแต่จะเอาดีด้วยการอ้อนวอนบวงสรวง คำสอนข้อนี้เป็นเหตุให้เกิดหลัก เรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม อันทำให้ชาวต่างประเทศหันมานิยมนับถือมากขึ้น

๑๑. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่กล้าปฏิเสธหลักตรรกศาสตร์ ซึ่งชาวโลกถือว่าเป็นศาสตร์แห่งศาสตร์ทั้งหลาย โดยได้เสนอหลักการอย่างอื่นที่สูงกว่า แน่นอนกว่า พร้อมทั้งให้เหตุผลอย่างชัดแจ้ง

๑๒. พระพุทธศาสนามีหลักเกณฑ์และวิธีการในการสั่งสอน ตลอดจนตัวคำสอนอันเป็นวิทยาศาสตร์มาก่อนที่วิชาวิทยาศาสตร์ของโลกจะเกิดเป็น เนื้อเป็นตัวขึ้น

๑๓. พระพุทธศาสนาสอนให้พยายามพึ่งตนเอง ไม่ให้มัวคิดแต่พึ่งผู้อื่น

๑๔. พระพุทธศาสนาสอนให้ทำความดีเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ใช่ทำความดีด้วยความโลภหรืออยากได้สิ่งตอบแทน หรือทำด้วยความหลงคือไม่รู้ความจริง บางครั้งนึกว่าดีแต่กลายเป็นชั่ว

๑๕. พระพุทธศาสนาสอนให้มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้านยิ่งสำหรับคฤหัสถ์ การตั้งเนื้อตั้งตัวได้ดี ต้องมีความพอใจและความขยันหมั่นเพียรเป็นหลัก

๑๖. พระพุทธศาสนาสอนให้มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

๑๗. พระพุทธศาสนาสอนว่า การอยู่ในอำนาจผู้อื่นเป็นทุกข์ จึงสอนให้มีอิสรภาพทั้งภายนอกและภายใน อิสรภาพภายในคือไม่เป็นทาสของกิเลส ถ้ายังละกิเลสไม่ได้ ก็อย่าถึงกับปล่อยให้กิเลสบังคับมากเกินไป

๑๘. พระพุทธศาสนาสอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร และในขณะเดียวกันให้พยายามทำตนอย่าให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ให้รู้จักผูกไมตรี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน

๑๙. พระพุทธศาสนาสอนให้ประกอบเหตุ คือลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมาย ไม่ให้คิดได้ดีอย่างลอยๆ โดยคอยพึ่งโชคชะตาหรืออำนาจลึกลับใดๆ

๒๐. พระพุทธศาสนาสอนให้ลงมือปฏิบัติ เพื่อจะให้รู้แจ้งผลดีด้วยตนเอง ไม่ต้องเดาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดยังเดาอยู่ ตราบนั้นยังไม่ชื่อว่ารู้ความจริง

๒๑. พระพุทธศาสนาสอนให้มีความอดทน ต่อสู้กับความยากลำบากและอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอพอพบอุปสรรคก็วางมือทิ้ง ถือว่าความอดทนจะนำประโยชน์และความสุขมาให้

๒๒. พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เชื่ออะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ให้ใช้ปัญญากำกับอยู่เสมอ นอกจากนั้น ยังสอนให้รู้จักพิสูจน์ความจริงด้วยการทดลอง การปฏิบัติและการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

๒๓. พระพุทธศาสนาสอนกว้างกว่าเทศบาลและรัฐบาล คือเทศบาลปกครองท้องถิ่นรัฐบาลปกครองประเทศโดยสอนให้มีโลกบาลคือธรรมอัน ปกครองโลก ได้แก่ หิริ ความละอายแก่ใจ และโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปทุจริต

๒๔. พระพุทธศาสนาสอนให้มีสติปัญญาคู่กัน คือให้มีเฉลียวคู่กับฉลาด ไม่ใช่เฉลียวหรือฉลาดเพียงอย่างเดียว จึงสอนให้มีสติสัมปชัญญะคู่กัน และถือว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก

๒๕. พระพุทธศาสนาสอนให้บุคคลมีความเจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ เช่น สอนให้เคารพในการศึกษา ให้มีการสดับตรับฟังมาก ให้คบหาผู้รู้หรือคนดี และสนใจฟังคำแนะนำของท่าน โดยเฉพาะได้สอนว่าไม่ควรสรรเสริญการยึดอยู่ในคุณความดี สรรเสริญแต่ความเจริญก้าวหน้า

๒๖. พระพุทธศาสนาสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ เพื่อจะได้อยู่เป็นผาสุกในสังคม

๒๗. พระพุทธศาสนาสอนมิให้ปลูกศัตรูหรือมองเห็นใครต่อใครเป็นศัตรู โดยเฉพาะไม่สอนให้เกลียดชังคนนับถือศาสนาอื่น จึงนับว่าเป็นศาสนาที่มีใจกว้างขวาง

๒๘. พระพุทธศาสนาสอนมิให้วิธีอ้อนวอนบวงสรวงเพื่อให้สำเร็จผล แต่สอนให้ลงมือทำ เพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมายนั้นโดยถูกทาง

๒๙. พระพุทธศาสนาสอนให้มองโลก โดยรู้เท่าทันความจริงที่ว่า มีความไม่เที่ยงแท้ถาวร ทนอยู่ไม่ได้และไม่ใช่ตัวตนที่พึงยึดถือจะได้มีความปลอดโปร่งใจ ไม่ยึดมั่นจนเกินไปซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้โดยง่าย

๓๐. พระพุทธศาสนาสอนให้ถือธรรมคือความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ให้ถือตนเป็นใหญ่หรือถือโลกเป็นใหญ่ พูดง่ายๆ คือไม่ถือบุคคลเป็นสำคัญ แต่ถือธรรมคือความถูกต้องเป็นสำคัญ

๓๑. พระพุทธศาสนาสอนปรมัตถ์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้รู้จักความจริงที่เป็นแก่น ไม่หลงติดอยู่ในความสมมติต่างๆ เช่น ลาภ ยศ เป็นต้น แต่ในการเกี่ยวข้องทางสังคมก็สอนให้รู้จักรับรองสมมติทางกายและทางวาจาตาม ควร เช่น เมื่อเข้าประชุมชนก็ให้ทำตนให้เข้ากับประชุมชนนั้นๆ ให้ใช้ถ้อยคำให้ถูกต้องตามสมมติบัญญัติ ไม่ใช่ถือว่าเมื่อไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาแล้ว ก็เลยเข้ากันไม่ได้ การที่พระพุทธศาสนายั่งยืนมาได้ ก็เพราะถึงคราวรับรองสมมติบัญญัติก็รับรองตามสมควร ถึงคราวสอนใจให้รู้เท่าสมมติบัญญัติ ก็สอนใจมิให้ติดให้หลงจนเป็นเหตุมัวเมางมงาย

๓๒. พระพุทธศาสนาสอนธรรมตั้งแต่ชั้นต่ำจนถึงชั้นสูง แต่ละประเภทเหมาะแก่จริต อัธยาศัยและความสามารถของแต่ละคน เหมือนให้อาหารแก่เด็กอ่อนแก่เด็กโต ตามความเหมาะสมฉะนั้น

๓๓. พระพุทธศาสนาสอนว่า ปัญญาเป็นเครื่องส่องทางแห่งชีวิตที่นับเป็นแสงสว่างในโลก และได้สอนต่อไปว่า ปัญญานั้นทำให้เกิดได้ ไม่ใช่ปัญญาเกิดตามบุญตามกรรม การทำให้เกิดปัญญาคือการคิด การศึกษาสดับตรับฟัง และลงมือปฏิบัติอบรมให้เกิดปัญญา

๓๔. พระพุทธศาสนาสอนเน้นหนักไปในเรื่องความกตัญญูรู้คุณผู้อื่น และกตเวทีตอบแทนคุณท่าน และสรรเสริญว่า ใครมีคุณข้อนี้ชื่อว่าเป็นคนดี และประพฤติสิ่งเป็นสวัสดิมงคล

๓๕. พระพุทธศาสนาสอนให้ดับทุกข์ โดยให้รู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นต้นเหตุและการดับความทุกข์ ได้แก่ ดับเหตุของทุกข์ รวมทั้งให้รู้จักข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับของทุกข์ด้วย จึงชื่อว่าสอนเรื่องดับทุกข์ได้อย่างมีเหตุผล ซึ่งควรจะได้ศึกษาและปฏิบัติตาม

๓๖. พระพุทธศาสนามิได้สอนย่ำยีหรือซ้ำเติมคนที่ทำอะไรผิดไปแล้ว ควรจะช่วยกันให้กำลังใจในการกลับตัวของเขา ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยาม พระพุทธเจ้าเองก็เคยเล่าถึงเรื่องความผิดของพระองค์เองในสมัยเมื่อยังเวียน ว่ายตายเกิดอยู่ อันแสดงว่าตราบใดยังมีกิเลส ตราบนั้นก็อาจทำชั่วทำผิดได้ แต่ข้อสำคัญถ้ารู้ว่าอะไรผิด อะไรชอบแล้ว ต้องพยายามกลับตัวให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

๓๗. พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้เห็นอกเห็นใจคนอื่น ผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น จะเพราะชาติตระกูล เพราะทรัพย์หรือเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม ไม่เชื่อว่าปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา

๓๘. พระพุทธศาสนาสอนว่า การคบเพื่อนที่ดีย่อมจะชวนกันไปในทางที่ดี พระอานนท์เสนอว่าเป็นกึ่งพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นตัวพรหมจรรย์เลยทีเดียว แสดงว่ายกย่องกัลยาณมิตรมาก

๓๙. พระพุทธศาสนาสอนให้รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อยด้วยศีล ให้รักษาจิตให้สงบไม่ฟุ้งซ่านด้วยสมาธิ และให้รักษาทิฏฐิคือความเห็นมิให้ผิด ให้ไปตรงทางด้วยปัญญา ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นข้อปฏิบัติเด่นที่สุดทางพระพุทธศาสนา

๔๐. พระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรดี เพราะข้อปฏิบัติมีมากเหลือเกิน ก็สอนให้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว คือให้รักษาคุ้มครองจิตให้เป็นไปถูกทาง เสร็จแล้วจะเป็นอันคุ้มครองกาย วาจา และอื่นๆ ในตัวด้วย

๔๑. พระพุทธศาสนาสอนทางสายกลาง ระหว่างการทรมานตัวเองให้เดือดร้อนกับการปล่อยตัวให้เหลิงเกินไป และสอนสายกลางระหว่างที่เห็นว่าเที่ยงกับระหว่างที่เห็นว่าขาดสูญ การสอนทางสายกลางนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน

๔๒. พระพุทธศาสนาสอนให้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ไม่เป็นคนดื้อว่ายากสอนยาก คนที่ฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่น ย่อมมีโอกาสแก้ไขความผิดพลาดบกพร่องของตนเองอยู่เสมอ

๔๓. พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักเสียสละเป็นชั้นๆ ให้สละสุขอันเล็กน้อยเพื่อสุขอันสมบูรณ์ ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม

๔๔. พระพุทธศาสนาสอนว่า เมื่อมีศีลย่อมเป็นอุปการะให้เกิดสมาธิได้เร็ว เมื่อมีสมาธิก็ช่วยให้เกิดปัญญาได้สะดวกขึ้น

๔๕. พระพุทธศาสนาสอนรวบยอดให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือสอนไม่ให้ลืมตน ทะนงตนหรือขาดความระมัดระวัง ท่านถือความประมาทเป็นทางแห่งความตาย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาททั่วกัน เป็นต้น(๑)


.................................................................................

(๑) คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา, สุชีพ บุญญานุภาพ, โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย พระนคร

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

Cancer

Cancer

Cancer is a disease characterized by the uncontrolled growth and spread of abnormal cells. Around the world, over 10 million cancer cases occur annually. Half of all men and one-third of all women in the United States will develop some form of cancer during their lifetime. It is one of the most feared diseases, primarily because half of those diagnosed with cancer in the United States will die from it. Cancer is a leading cause of death around the world, causing over 6 million deaths a year. The exact causes of most types of cancer are still not known, and there is not yet a cure for cancer. However, it is now known that the risk of developing many types of cancer can be reduced by adopting certain lifestyle changes, such as quitting smoking and eating a better diet.

Prevalence

Cancer is, in general, more common in industrialized nations, but there has been a growth in cancer rates in developing countries, particularly as these nations adopt the diet and lifestyle habits of industrialized countries. Over one million people in the United States get cancer each year. Anyone can get cancer at any age; however, about 80 percent of all cancers occur in people over the age of fifty-five.

Cancer can affect any site in the body. About one hundred human cancers are recognized. The four most common cancers in the United States are: lung, colon/rectum, breast, and prostate. Together, these cancers account for over 50 percent of total cancer cases in the United States each year.

There is a marked variation among countries in incidence of different cancers. Most of the variation in cancer risk among populations, and among individuals, is due to environmental factors, such as cigarette smoking and certain dietary patterns, that can affect one's risk of developing cancer. For example, individuals living in Australia have the highest worldwide lifetime risk of skin cancer, at over 20 percent, due to the high level of exposure to the sun of people in Australia. People in India have twenty-five times the average risk of developing oral cancer sometime during their lives due to the popularity of chewing tobacco in that country. In fact, India has the world's highest incidence of oral cancer, with 75,000 to 80,000 new cases a year. The population of Japan has the highest rates of stomach cancer in the world due to the high consumption of raw fish by the Japanese.

Types of Cancer

Cancers are classified according to the types of cells in which they develop. Most human cancers are carcinomas, which arise from the epithelial cells that form the superficial layer of the skin and some internal organs. Leukemias affect the blood and blood-forming organs such as bone marrow, the lymphatic system, and the spleen. Lymphomas affect the immune system. Sarcoma is a general term for any cancer arising from muscle cells or connective tissues.
Growth and Spread of Cancer

Cancer develops when cells in a particular part of the body begin to grow out of control. Normal body cells grow, divide, and die in an orderly way. Cancer cells, however, continue to grow and divide without dying. Instead, they outlive normal cells and continue to form new abnormal cancer cells. As most cancer cells continue to grow, they lump together and form an extra mass of tissue. This mass is called a malignant tumor.

As a malignant tumor grows, it damages nearby tissue. Some cancers, like leukemia, do not form tumors. Instead, these cancer cells involve the blood and blood-forming organs and circulate through other tissues, where they grow.

Cancer can begin in one part of the body and spread to others. The spread of a tumor to a new site is called metastasis. This process occurs as cancer cells break away from a tumor and travel through the bloodstream or the lymph system to other areas of the body. Once in a new location, cancer cells continue to grow out of control and form a new malignant tumor.

Causes of Cancer

The exact cause of cancer is not known. Most cancers result from permanent damage to genes or from mutations, which occur either due to internal factors, such as hormones, immune conditions, metabolism, and the digestion of nutrients within cells, or by exposure to environmental or external factors. A chemical or other environmental agent that produces cancer is called a carcinogen.

Overall, environmental factors, defined broadly to include tobacco use, diet, infectious diseases, chemicals, and radiation, are believed to cause between 75 and 80 percent of all cancer cases in the United States. Tobacco use, including cigarettes, cigars, chewing tobacco, and snuff, can cause cancers of the lung, mouth, throat, larynx, bladder, kidney, esophagus, and pancreas. Smoking alone causes one-third of all cancer deaths in the United States. Heavy consumption of alcohol has also been shown to increase the risk of developing cancer of the mouth, pharynx, larynx, esophagus, liver, and breast.

Overweight and obesity are associated with increased risk of cancers of the breast, colon, endometrium, esophagus, kidney, and gallbladder. The following chemicals have been found to cause cancer: coal tars and their derivatives, such as benzene; some hydrocarbons; aniline, a substance used to make dyes; and asbestos. Radiation from a variety of sources, including the ultraviolet light from the sun, is known to lead to skin cancer.

Several infectious agents have also been implicated in cancer. Evidence suggests that chronic viral infections are associated with up to one-fifth of all cancers. These include hepatitis B virus (HBV), which can lead to cancer of the liver; the Epstein-Barr virus, a type of herpes virus that causes infectious mononucleosis and has been associated with Hodgkin's disease, non-Hodgkin's lymphomas, and nasopharyngeal cancer; the human immunodeficiency virus (HIV), which is associated with an increased risk of developing several cancers, especially Kaposi's sarcoma and non-Hodgkin's lymphoma; and human papilloma viruses (HPV), which have been proven to cause cervical cancer and have also been associated with cancers of the vagina, vulva, penis, and colon. The bacterium Helicobacter pylori has been linked to stomach cancer.

About 5 to 10 percent of cancers are hereditary, in that a faulty gene or damaged DNA that has been inherited predisposes a person to be at a very high risk of developing a particular cancer. Two genes, BRCA1 and BRCA2, have been found to cause some breast cancers. Other genes have been discovered that are associated with some cancers that run in families, such as cancers of the colon, rectum, kidney, ovary, esophagus, lymph nodes, skin melanoma, and pancreas.

Types of Cancer

Cancers are classified according to the types of cells in which they develop. Most human cancers are carcinomas, which arise from the epithelial cells that form the superficial layer of the skin and some internal organs. Leukemias affect the blood and blood-forming organs such as bone marrow, the lymphatic system, and the spleen. Lymphomas affect the immune system. Sarcoma is a general term for any cancer arising from muscle cells or connective tissues.
Growth and Spread of Cancer

Cancer develops when cells in a particular part of the body begin to grow out of control. Normal body cells grow, divide, and die in an orderly way. Cancer cells, however, continue to grow and divide without dying. Instead, they outlive normal cells and continue to form new abnormal cancer cells. As most cancer cells continue to grow, they lump together and form an extra mass of tissue. This mass is called a malignant tumor.

As a malignant tumor grows, it damages nearby tissue. Some cancers, like leukemia, do not form tumors. Instead, these cancer cells involve the blood and blood-forming organs and circulate through other tissues, where they grow.

Cancer can begin in one part of the body and spread to others. The spread of a tumor to a new site is called metastasis. This process occurs as cancer cells break away from a tumor and travel through the bloodstream or the lymph system to other areas of the body. Once in a new location, cancer cells continue to grow out of control and form a new malignant tumor.

Prevention

All cancers caused by cigarette smoking and heavy use of alcohol could be prevented completely. Approximately 30 percent of all cancers worldwide are due to tobacco use. Many of the skin cancers could be prevented by protection from sunlight. Certain cancers that are related to infectious exposures, such as HBV, HPV, HIV, and Helicobacter could be prevented through behavioral changes, vaccines, or antibiotics. Research shows that about 30 to 40 percent of all cancers worldwide are due to dietary factors and lack of physical activity, including obesity, and could therefore have been prevented. By making changes in regard to diet, exercise, healthy weight maintenance, and tobacco use, the incidence of cancer around the world could be reduced by 60 to 70 percent.
The Relationship between Diet, Physical Activity, and Cancer

While the exact mechanisms by which diet is related to cancer have not been completely understood, research has shown that food plays a role in cancer prevention. For example, populations whose diet includes at least five servings of fruits and vegetables a day have lower rates of some of the most common cancers. Fruits and vegetables contain many antioxidants and phytochemicals, such as vitamins A, C, and E, and beta-carotene, which have been shown to prevent cancer. It is not completely clear, however, whether it is individual phytochemicals, or a combination of them, or the fiber in fruits and vegetables that result in reduced risk of cancer.

Studies have shown the risk of prostate cancer drops for men who eat tomato products, possibly because of the phytochemical lycopene. In addition, it has been shown that colon cancer declines among those who drink green tea, which contains antioxidants and phytochemicals, and who regularly eat soy products and foods rich in selenium, an antioxidant.

Those who eat a diet low in fat, especially animal fat, also have lower cancer rates, but again it is not clear whether it is the calories, the amount and distribution of body fat, or the likelihood that a low-fat diet is high in fiber, fruits, and vegetables that is protective against cancer. High-fiber diets are thought to reduce the risk of colon cancer because the fiber helps move food through the lower digestive tract, possibly reducing the contact of any carcinogens with the bowel lining.

Scientific evidence indicates that physical activity may reduce the risk of certain cancers. This effect may be due to the fact that physical activity is associated with the maintenance of a healthy body weight. Other mechanisms by which physical activity may help to prevent certain cancers may involve both direct and indirect effects. For colon cancer, physical activity accelerates the movement of food through the intestine, thereby reducing the length of time that the bowel lining is exposed to potential carcinogens. For breast cancer, vigorous physical activity may decrease the exposure of breast tissue to circulating estrogen, a hormone that has been implicated in breast cancer. Physical activity may also affect cancers of the colon, breast, and other sites by improving energy metabolism and reducing circulating concentrations of insulin and related growth factors.

Because of these factors, recommendations of the American Cancer Society to reduce the risk of cancer include: consumption of a mostly plant-based diet, including five or more servings of fruits and vegetables each day; consumption of whole grains in preference to processed or refined grains and sugar; limited consumption of high-fat foods, particularly from animal sources; physical activity; and limited consumption of alcohol.

Nutrition for People with Cancer

People with cancer often have increased nutritional needs. As such, it is important for them to consume a variety of foods that provide the nutrients needed to maintain health while fighting cancer. These nutrients include: protein, carbohydrates, fat, water, vitamins, and minerals. Nutrition suggestions for people with cancer often emphasize eating high-calorie, high-protein foods. Protein helps to ensure growth, repair body tissue, and maintain a healthy immune system. Therefore, people with cancer often need more protein than usual.

Great progress has been made in the fight against cancer, and cancer detection and treatments have improved significantly. However, there is a disparity in cancer death rates between developed and developing countries. Between 80 and 90 percent of cancer patients in developing countries have late-stage and often incurable cancer at the time of diagnosis.

A growing body of evidence shows that simple changes in diet and lifestyle can help prevent many cancers. Further research into the exact mechanisms by which certain diets may help prevent cancer is ongoing.

SEE ALSO ANTIOXIDANTS; FUNCTIONAL FOODS; PHYTOCHEMICALS.

Gita C. Gidwani
Bibliography

American Institute for Cancer Research (1997). Food, Nutrition, and the Prevention of Cancer: A Global Perspective. Washington, DC: Author.

Cooper, Geoffrey M. (1992). Elements of Human Cancer. Boston: Jones and Bartlett.

Tortora, Gerald J., and Grabowski, Sandra Reynolds (2003). Principles of Anatomy and Physiology, 10th edition. New York: Wiley.
Internet Resources

American Cancer Society. "Cancer Facts and Figures, 2002." Available from

National Cancer Institute (2000). "Cancer Facts: Questions and Answers About Cancer." Available from

Source:http://health.yahoo.net/galecontent/cancer-8