วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หากหัวใจคล้ายห้องว่าง


คำว่าชีวิตประกอบขึ้นมาจาก "กาย" กับ "ใจ" เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กาย" กับ "นาม" องค์ประกอบทั้งสองของชีวิตนี้

"ใจ" มีความสำคัญมากกว่า "กาย" เพราะ "ใจ" เป็นอย่างไร "กาย" จะเป็นอย่างนั้น

เรื่อง ว.วชิรเมธี

ความสำคัญของใจที่มีผลเหนือกายนั้นมีตัวอย่างมากมาย อภิปรายกันไม่รู้จบ เช่นวันหนึ่งเมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์ว่า ไทเกอร์ วู้ด มีเคล็ดลับในการตีกอล์ฟอย่างไร จึงตีได้แม่นเหมือนจับวางทุกครั้ง เขาตอบสั้นๆ ว่า ผมจินตนาการเห็นลูกกอล์ฟลอยละลิ่วลงหลุมก่อนที่ผมจะเริ่มตีมันเสียอีก" คำตอบของนักกอล์ฟอัจฉริยะสะท้อนว่าใจของเขานั้นไม่ได้สั่งได้เฉพาะกายคือมือของเขาเท่านั้น แม้แต่ไม้ตีกอล์ฟเอง ก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เข้าทำนอง กระบี่อยู่ที่ใจ ใจอยู่ในกระบี่ โดยแท้

ครั้งหนึ่งมีการทดลองกันในทางจิตวิทยาว่า ใจสำคัญต่อกายจริงหรือไม่ นักจิตวิทยาร่วมมือกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง ไปตรวจร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักถึงโรงยิม เมื่อไปถึง นายแพทย์ก็ตรวจวัดร่างกายของนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่ง ซึ่งมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เขากำลังฝึกยกน้ำหนักอยู่พอดี เมื่อไปถึงนายแพทย์ใช้ปรอทวัดไข้อยู่สักพักหนึ่ง รอไม่กี่นาที ท่านก็รายงานด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า นักกีฬาคนนี้กำลังมีปัญหาใหญ่ เพราะตรวจพบ บางอย่าง ในร่างกาย ขอให้งดการฝึกซ้อม เอาไว้ก่อน พอนายแพทย์พูดจบ นักกีฬาร่างล่ำบึ้กมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที เขายกน้ำหนักต่อไปไม่ไหว ยกอย่างไรก็ไม่เป็นที่พอใจ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เขาจึงขออนุญาตลากลับไปพักหลายวัน

ต่อมานายแพทย์และนักจิตวิทยา จึงขอโทษนักกีฬาคนนั้น พร้อมทั้งบอกความจริงว่า ผลการตรวจสุขภาพไม่เป็นอันตรายอย่างที่เป็นกังวลสักนิด ที่แจ้งผลไป ก่อนหน้านั้น เป็นเพียงการทดลองอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งครูฝึก นักจิตวิทยา และนายแพทย์ร่วมมือกันและรู้กันมาแต่ต้นอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบผลว่า ตนไม่เป็นอะไร วันรุ่งขึ้นนักกีฬาคนนั้นก็มาฝึกซ้อมต่อและคราวนี้เขาสดชื่นรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด การทดลองคราวนี้ ก็สะท้อนหลักการที่ว่า ใจเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นอย่างนั้น จริงๆ

ความจริง ในชีวิตของคนเรานั้น หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงผลออกมาทางกายนั้น ล้วนได้รับอิทธิพลของใจทั้งสิ้น

-คนที่มีสีหน้าสดชื่น ผ่องใส ใจเย็นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่ใสเพราะฝีมือหมอ) ก็เพราะลึกๆ แล้ว เขาไม่มีความเครียดเจือปนอยู่ในใจ

-คนที่หงุดหงิดงุ่นง่าน ก็เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยความกังวล

-คนที่มีพฤติกรรมฉ้อฉล คอรัปชั่น ก็เพราะใจเขามี ไถยจิต ซึ่งแปลว่า จิตที่มีธาตุแห่งความเป็น หัวขโมย แฝงอยู่

-คนที่สู้ชีวิต ก็เพราะใจเขาเปี่ยมด้วย ปรักกมธาตุ ซึ่งแปลว่า ใจนักสู้ อยู่ข้างใน

-ส่วนคนที่เต็มไปด้วยความอิจฉาตาร้อน ก็เพราะข้างในของเขา หมักหมมอยู่ด้วยไฟริษยานั่นเอง นอกเป็นอย่างไร ก็สะท้อนว่าใจเป็นอย่างนั้น กาย จึงเป็นเหมือนเงาสะท้อนของใจ

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยกับผู้เขียนหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์...หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น

ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้ ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Living etc ฉบับภาษาไทย

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือด

วันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา 0:00 น

เริ่มจากเลือดกรุ๊ปเอ ควรออกกำลังกายแบบช้า ๆ ออกแรงไม่มาก เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง เพราะมีโครงกระดูกเล็ก หักง่าย สืบเนื่องจากอาหารที่เหมาะสมของคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ อาหารประเภทมังสวิรัติ หรือรับประทานเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อย

ส่วนเลือดกรุ๊ปบี ที่รับประทานอาหารทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์ได้ในสัดส่วนที่เท่ากัน จึงมีความว่องไว ให้ออกกำลังกายอย่างสมดุล ไม่หักโหมหรือเชื่องช้าเกินไป เช่น ว่ายน้ำ เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ กอล์ฟ ปิงปอง

สำหรับผู้ที่มีเลือดกรุ๊ปเอบี เปรียบเสมือนส่วนผสมของกรุ๊ปเอและบี ให้สังเกตตนเองว่ามักเลือกรับประทานอาหารของกรุ๊ปเอ หรือกรุ๊ปบีมากกว่ากัน เมื่อทราบแล้วก็ให้ออกกำลังกายตามลักษณะของเลือดกรุ๊ปนั้น แต่ก็ควรเพิ่มการออกกำลังกายในแบบที่เหมาะกับเลือดอีกกรุ๊ปด้วย เช่น มักรับประทานผักและผลไม้อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ก็ให้ออกกำลังกายแบบช้า ๆ เป็นหลัก และเสริมด้วยการออกกำลังกายของคนเลือดกรุ๊ปบีบ้าง

ขณะที่คนเลือดกรุ๊ปโอ เหมาะสมกับการออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงมาก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล วิ่งทางไกล ชกมวย เนื่องจากสภาพร่างกายสามารถบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูงและผักได้ในปริมาณมาก ทำให้มีโครงกระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อกระชับแน่น

ไม่ว่าคุณจะมีเลือดอยู่ในกรุ๊ปใด ต้องไม่ลืมการเดินเร็ว 10 นาที หลังจากออกกำลังกายตามกรุ๊ปเลือดทุกครั้ง นอกจากนี้ยังควรออกมายืดเส้นยืดสายเคลื่อนไหวร่างกายให้ผิวหนังถูกแสงแดดราว 20 – 30 นาที ในช่วงเวลา 11.00 – 14.00 น. เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีรังสียูวีในระดับเข้มข้น ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี 3 เพื่อช่วยลำเลียงแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ ไปยังกระดูก โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง หากไม่ได้ออกมารับแสงแดดด้วยการนอนอาบแดดอยู่เฉย ๆ กับที่ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนัง.

takecareDD@gmail.com

Source: http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=33941&categoryID=457

‘เม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้’ บำรุงหัวใจ


เดลินิวส์ วันศุกร์ ที่ 04 ธันวาคม 2552 เวลา 0:00 น

บัว ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชินีแห่งไม้น้ำ’ พืชสารพัดประโยชน์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาช้านาน เราปลูกบัวประดับบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อความสวยงาม ใช้ดอกบัวไหว้พระ หรือแม้กระทั่งนำมาประกอบอาหาร ดังนั้น ‘กินดี’ วันนี้มีเมนูอาหารว่างเพื่อสุขภาพอย่าง ‘เม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้’ รสอร่อยมากคุณค่าสารอาหารช่วยบำรุงหัวใจมาฝากกัน

สำหรับ ‘เม็ดบัว’ พืชสมุนไพรที่ชาวจีนนิยมนำมารับประทาน เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีนสูงเทียบเท่าถั่วเหลือง ลูกเดือย และข้าวฟ่าง ทั้งยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก มีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ม้าม ไต และลำไส้ ช่วยให้ใจสงบ ทำให้นอนหลับได้ดี และช่วยในเรื่องความจำ

ที่สำคัญในเม็ดบัวยังมี ‘ดีบัว’ แม้รสชาติจะขม แต่สารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) หลายชนิดที่มีอยู่ในดีบัวมีฤทธิ์ต่อการขยายเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจ ลดความดันโลหิต บำรุงสายตา หัวใจ ปอด ไต แก้อาการอสุจิหลั่งเร็วในชายสูงวัยที่อวัยวะเพศเสื่อม

เมนูเม็ดบัวแปะก้วยน้ำเต้าหู้ มีส่วนผสมให้ต้องเตรียมดังต่อไปนี้
-เม็ดบัวต้มสุก 1 ถ้วย
-นมถั่วเหลืองชนิดจืด 1 กล่อง
-น้ำตาลกรวด 1 ช้อนโต๊ะ
-แปะก้วยต้มน้ำตาล 1/4 ถ้วย

ส่วนขั้นตอนในการปรุงนั้นเริ่มจากต้มเม็ดบัวนาน 30 นาทีจนเปื่อย จึงนำไปปั่นพร้อมกับนมถั่วเหลืองพอหยาบให้มีลักษณะเป็นชิ้นเล็ก เคี้ยวกรุบ ๆ แล้วเทใส่หม้อ เมื่อตั้งไฟจนเดือดก็ให้เติมน้ำตาลกรวด คนให้ละลาย ตักใส่ชาม แต่งหน้าด้วยแปะก้วยต้มน้ำตาล หรือจะใส่แปะก้วยลงไปต้มกับเม็ดบัวด้วยก็ได้ และหากไม่ต้องการให้เม็ดบัวเป็นสีดำคล้ำ ไม่ควรปรุงอาหารในภาชนะที่ทำจากเหล็ก.

บุษยมาส รักไทย
takecareDD@gmail.com

Source:http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=35477&categoryID=457

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ล่องเรือไหว้พระ เสน่ห์วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำ


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ความงดงามของสถาปัตยกรรม และฝีมือช่างศิลป์ที่สะท้อนผ่าน วัด หลายแห่งซึ่งตั้งอยู่ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นความงามอันทรงคุณค่า

ที่ควรหาโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี (ขน.) จึงเชิญชวนเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำ ยลเสน่ห์ความงามของวัดสำคัญ 9 วัดในหนึ่งวัน

เริ่มที่ วัดบุคคโล วัดเก่าแก่อายุกว่า 237 ปี สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเจ้าฟ้าหญิงอุบลวรรณา วัดแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อแพ” ซึ่งเล่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปที่ลอยมากับแพ วนมาอยู่หน้าวัดหลายวัน ชาวบ้านจึงได้ทำพิธีอันเชิญขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่วัด และเป็นที่นิยมกราบไหว้ขอพรเพื่อให้การทำมาค้าขายมีความเจริญรุ่งเรืองสมปรารถนา

วัดยานนาวา พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดมหานิกาย เป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ "วัดคอกควาย" ตามชื่อหมู่บ้าน ในสมัยกรุงธนบุรีได้รับการยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวง เรียกชื่อใหม่ว่า "วัดคอกกระบือ" ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดยานนาวา"

วัดราชสิงขร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปลายรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2275 - 2310) ภายในวัดประดิษฐาน "หลวงพ่อแดง" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริดแกมทองคำปางมารวิชัย มีความงดงามมาก โดยเฉพาะพระพักตร์ ได้รับการขนานนามว่า "หลวงพ่อพระพุทธสุโขทัย" กิตติศัพท์เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ร่ำลือกันว่าผู้ใดได้บนบานศาลกล่าว มักได้สมปรารถนาเสมอ

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ "หลวงพ่อโต" เป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกว่า "ซำปอฮุดกง" หรือ "ซำปอกง" วัดนี้เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงพุทธประวัติ และแสดงชีวิตชาวบ้านในสมัยรัชกาลที่ 3 และยังมีหอพระธรรมมณเฑียร เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4

วัดอรุณราชวราราม หรือ “วัดแจ้ง” เป็นอีกวัดหนึ่งที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อ "วัดมะกอก" พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์และยังได้ทรงลงมือปั้นหุ่นพระพักตร์ "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" พระประธานในพระอุโบสถด้วยพระองค์เอง สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ได้แก่ พระปรางค์ใหญ่ เป็นพระเจดีย์ทรงปรางค์ก่ออิฐถือปูน ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ อย่างงดงาม

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เดิมเรียกว่า วัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 1 ได้นำระฆังดังกล่าวไปไว้ที่วัดพระแก้ว และโปรดให้สร้างหอระฆัง พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดภายในพระอุโบสถประดิษฐาน "พระประธานยิ้มรับฟ้า" เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางสมาธิ ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก

วัดอมรินทราราม วัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ “วัดบางหว้าน้อย” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งหมด และทรงพระราชทานนามใหม่ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานศักดิ์สิทธิ์ คือ “หลวงพ่อโบสถ์น้อย” ซึ่งมีเรื่องเล่าถึงปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านจึงเลื่อมใสอย่างมาก

วัดคฤหบดี ในสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้โปรดพระราชทานนามวัด และพระราชทาน “พระแซกคำ” ไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถ หลวงพ่อแซกคำ เป็นพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน ภายในองค์หลวงพ่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 9 องค์ นับเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่กับพระแก้วมรกต ซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้อัญเชิญมากจากเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ. 2369

ปิดท้ายด้วย วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวบ้านเรียกว่า "วัดสมอแครง" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน “พระพุทธเทวราชปฏิมากร” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดีผสมอู่ทอง ภายในวัดมีพิพิธภัณฑ์ไม้สักทองซึ่งเพิ่งเปิดให้ชมความสวยงามกันอย่างใกล้ชิดด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจชมความงาม และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดทั้ง 9 แห่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่มีให้เลือกมากมายหรือสอบถามที่โทร 02-682-9880

Source: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/travel/20091205/88632/ล่องเรือไหว้พระ-เสน่ห์วัฒนธรรมริมฝั่งน้ำ.html

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มองมุมใหม่ด้วยใจรัก:จิตวิญญาณในสังคมไทย

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 19 พฤศจิกายน 2552 12:57 น.
ท่านดาไลลามะ เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาของมนุษย์ทุกวันนี้คือความพร่องจิตวิญญาณ และการแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติคือการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Revolution)

คำว่า 'จิตวิญญาณ' ใช้ทั่วไปในสังคมไทยมาก่อน หมายถึงสิ่งอะไรก็ตามที่มีคุณค่าสูงทางจิตใจ

เราจึงนำคำที่ใช้ในสังคมไทยมาใช้ เรียกว่า 'สุขภาวะทางจิตวิญญาณ' ต่อมาได้มีการได้ปรับเปลี่ยนมาใช้คำว่า 'สุขภาวะทางปัญญา' ทั้งนี้ คำว่า 'จิต' หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ในทางพุทธคือเบญจขันธ์ ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตมีลักษณะสมมติ คือ มีความรู้สึกสุขทุกข์ได้ มีความจำได้ มีความคิดปรุงแต่งได้ มีการรับรู้ทางวิญญาณได้ ส่วนคำว่า 'วิญญาณ' ในทางพุทธศาสนา หมายถึง การรู้เวลามีผัสสะโดยมีอายตนะทั้ง 6 เป็นเครื่องรับ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ

คำว่า Spiritual หมายถึง มิติที่เหนือวัตถุ ในทางพุทธเรียก 'โลกุตตระ' หรือ เหนือโลก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์จงใจไม่ใช้คำนี้จนกระทั่งท่านอาจารย์พุทธทาสมาฟื้นกลับมาใช้ ซึ่งโลกในที่นี้ หมายถึง เนื้อหนังมังสาในร่างกาย ทั้งนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาสฝากปณิธาณไว้ 3 ข้อ คือขอให้ศาสนิกของศาสนาต่างๆเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน เพราะหัวใจของทุกศาสนาคือ Spiritual หรือ โลกุตตระ ซึ่งไม่รู้จะมีศาสนาไปทำไมถ้ามันเป็นเรื่องพื้นๆในระนาบเดียวกัน แต่ตรงนี้มันเหนือขึ้นไป ทุกศาสนาจะมีเรื่องที่ไม่ใช่หัวใจแล้วจะไปทะเลาะกันที่ตรงนั้น ประการที่สอง ท่านพุทธทาสขอให้มีความร่วมมือกันระหว่างศาสนา และประการสุดท้ายคือขอให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม ซึ่งก็คือมุ่งไปสู่ระนาบของจิตวิญญาณ หรือ Spiritual หรือ โลกุตตระ นั่นเอง ท่านอาจารย์พุทธทาสใช้ตลอดชีวิตทำโลกุตรโอสถให้เป็นยาสามัญประจำบ้านคือทำให้เป็นเรื่องชีวิตประจำวันเพราะคนไทยพุทธมักถือว่าโลกุตตระเป็นเรื่องห่างไกล แต่จะบอกว่าทางพุทธไม่ได้คิดอย่างนี้ก็คงไม่ได้เพียงแต่อาจใช้คำอื่น เช่น ความดีงาม กุศล จิตสูง ความเป็นมนุษย์ฯลฯ

ทางพุทธศาสนา มีหลักที่เรียกว่า 'ไตรสิกขา' ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งคำว่า 'ปัญญา' ในทางพุทธมีความหมายพิเศษ เพราะพระพุทธเจ้าถือว่าความทุกข์ของมนุษย์เกิดจากอวิชชาหรือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นปัญญาจะทำให้หมดทุกข์และเกิดสุขตามมา สุขภาวะจึงเกิดจากปัญญา และปัญญาในทางพุทธหมายถึงการลดความเห็นแก่ตัวลง ที่สุดแล้วเราจะถึง อนัตตา คือความไม่มีตัวตน ดังนั้น ปัญญาที่ใช้ในที่นี้ก็คือ 'สุขภาวะทางปัญญา'

พุทธศาสนายังเน้นเรื่องความเมตตากรุณา (Compasstion) คือ ถ้ามีเมตตากรุณาก็ถือว่ามีปัญญา แต่ถ้าเห็นแก่ตัวก็ไม่ถือว่ามีปัญญาเพราะไม่ถือว่ามีคุณค่าทางจิตวิญญาณ การมีเมตตากรุณาถือว่าเริ่มต้นในทิศทางของจิตวิญญาณ ในพระไตรปิฎกก็บอกว่าถ้าเผื่อแผ่เมตตาไปทุกทิศทุกทางอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็สามารถบรรลุธรรมได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสเองก็เคยกล่าวว่า ทุกคนเคยเจอนิพพานชิมลองมาแล้วทั้งสิ้น ยามใดเราไม่เห็นแก่ตัว เราจะมีความสุขลึกๆ นั่นคือนิพพาน แต่เป็นนิพานชั่วคราวหรือนิพพานชิมลอง ดังนั้นทำอย่างไรให้รู้ ให้มันเกิดบ่อยขึ้น ให้มันอยู่นานขึ้นนั่นเป็นภาคปฏิบัติ นั่นคือ 'สุขภาวะทางจิตวิญญาณ'

ทั้งนี้ หากหันมาดูการแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์แผนโบราณหรือแผนไทยไทยบ้าง เราจะเห็นชัดว่าการแพทย์แผนปัจจุบัน คือ การให้ยากับผ่าตัด หรือใช้อยู่ในระนาบของวัตถุ แต่การแพทย์แผนโบราณหรือแผนไทยจะใช้ร้อยแปด ทั้งความเชื่อ น้ำใจ เรื่องศักดิ์สิทธิ์ การช่วยเหลือกัน หรือความเป็นชุมชน เช่น ครั้งหนึ่งมีผู้ป่วยหนักใกล้เสียชีวิต หมอโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ถามว่าอยากให้ทำอะไร ผู้ป่วยบอกว่าอยากดูรำผีฟ้า หมอจึงไปจัดมาให้ แกก็ลุกขึ้นมานั่งได้เพราะแกเชื่อรำผีฟ้าทำให้มีสุขภาพดี

หรือในกรณีหมู่บ้านโรแซสโต้ เพนซีวาเนีย สหรัฐอเมริกา มีหมอคนหนึ่งสังเกตว่าทำไมคนจากหมู่บ้านนี้ไม่ค่อยเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็งเหมือนที่อื่นและมักมีอายุยืน ทั้งที่เมื่อลงไปดูพื้นที่คนก็กินเหล้า สูบบุหรี่ เหมือนที่อื่น แต่สิ่งที่แตกต่างคือที่หมู่บ้านนี้อบอุ่นมาก คนเป็นกันเองและดูแลกัน นี่เป็นบ่อเกิดของสุขภาพที่สำคัญ เป็นหัวใจของความเข้มแข็ง เป็นเรื่องของความเป็นชุมชน และเป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณ

การแพทย์แผนปัจจุบันติดอยู่ในการกักขังให้ใช้แต่ทางวัตถุ แต่ขณะนี้เรื่องสุขภาพได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งทางกาย จิต สังคม และปัญญา เกิดการปฏิรูประบบสุขภาพที่เคลื่อนไหวในสังคมไทย นั่นคือ 'การปฏิรูปมโนทัศน์' การคิดว่า สุขภาพดีคือการไม่มีโรค นั่นคือ การติดมโนทัศทัศน์ เพราะจะมีแต่หมอเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องโรคซึ่งไปจำกัดเรื่องสุขภาพเฉพาะเรื่องของหยูกยาหรือโรงพยาบาล มันจึงถูกกักขังไว้อยู่ในที่แคบ แต่เราได้เปิดทำนบแล้วว่า สุขภาพดีคือการไม่มีโรคนั้นไม่จริง การมีโรคก็สุขภาพดีได้ถ้ามีดุลยภาพ อย่างถ้าเป็นเบาหวานซึ่งมันก็ยังเป็นโรคอยู่ แต่ถ้าทำให้ได้ดุลยภาพก็สุขภาพดีได้ มะเร็งก็เช่นกัน สุขภาพดีคือดุลยภาพทั้งทางกาย จิต สังคม และปัญญา ซึ่งอะไรก็ตามที่ทำให้มีดุลยภาพก็เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นไทเก็ก ศิลปะ ดนตรี การสวดมนต์ หรือโยคะ เราเรียกว่าโอสถประยุกต์ซึ่งไม่ใช่เรื่องหมอ หรือหยูกยา อีกต่อไป นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

เราจะเห็นเรื่องการแพทย์ทางเลือก โยคะ ไทเก็ก หรือการเจริญสติที่กำลังเกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่มหาวิทยาลัยเมสซาซูเซต เมื่อเปิดหลักสูตรการเจริญสติแบบพุทธก็มีคนมาสมัครถึง 87,000 คน เพราะเจริญสติแล้วทุกอย่างดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น การเรียนรู้ดีขึ้น ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้น ขณะนี้จึงกำลังแพร่หลายและโลกกำลังจะเปลี่ยน มนุษย์นั้นโหยหามิติทางจิตวิญญาณเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เมื่อมนุษย์พัฒนาทางวัตถุเท่านั้นก็ขาดความสมบูรณ์ในตัวเอง เมื่อไปหาสิ่งที่มาเติมก็จะหา 3 อย่าง คือ ยาเสพติด ความฟุ่มเฟือย และความรุนแรง ซึ่งเป็นไปทั่วโลก

นักปราชญ์ฝรั่งบอกว่า Western Civilization ซึ่งเป็นวัตถุนิยม บริโภคนิยมไปต่อไม่ได้แล้วและทำให้เกิดวิกฤติ มีทางเดียวที่จะรอดได้ต้องปฏิวัติจิตสำนึก ท่านดาไลลามมะเรียกว่า การปฏิวัติทางจิตวิญญาณ หรือแม้แต่ไอน์สไตน์ก็พูดไว้ว่ามนุษย์จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่โดยสิ้นเชิงถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้

การพัฒนาจิตกับสุขภาพเป็นเรื่องที่กว้างใหญ่ไพศาลและเป็นการปฏิวัติ น่าดีใจที่กระแสปฏิวัติกำลังเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งขยายใหญ่และแรงจูงใจสูงมาก แรงจูงใจนั่นคือความสุข เพราะถ้าทำอะไรแล้วสุขก็จะอยากทำสิ่งนั้นอีก ซึ่งสุขภาวะทางจิตวิญาณหรือการพัฒนาจิตเป็นสิ่งที่นุ่มและปราณีตมาก มันลึกซึ้งและเป็นความสุขที่ราคาถูก เป็นความสุขแท้จริง เป็นความสงบ มีอิสระ เห็นความงามทั้งหมด เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษยและธรรมชาติทั้งหลาย เพราะฉะนั้นนี่ก็คือการปฏิวัติแล้ว

ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

Source: http://www.managerweekly.com/

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กมลา สุโกศล อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับ


นักธุรกิจหญิงแถวหน้า สาวสังคมชั้นนำ นักร้องเสียงเลิศ รวมถึงคุณแม่ที่แสนดี ทั้งหมดคือคุณสมบัติที่มีอยู่ในเธอคนเดียว กมลา สุโกศล เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เวลามีใครถามว่า ทำไมถึงไม่เครียด ทำไมไม่แก่ ทำไมถึงเก่ง ดิฉันอยากบอกเคล็ดลับเหมือนกัน แต่ตอบยาก เพราะเกิดมาก็เป็นคนแบบนี้ แต่ถ้าจะให้คิดจริงๆ คงจะแยกออกเป็นส่วนๆ ได้แบบนี้”...

ส่วนแรก : การใช้ชีวิต
ดิฉันยึดหลักใช้ชีวิตอย่างขวนขวายการขวนขวายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ชีวิตสนุก มีสีสัน มีคุณค่า ถ้าเรานิ่งๆ อยู่ ชีวิตก็จบแค่นั้น ฝรั่งเรียก richer ไม่ใช่ร่ำรวยเงินทอง?แต่หมายถึงใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน??มีคุณค่าอย่างที่บอก

เริ่มตั้งแต่เล็กๆ คุณแม่ของดิฉันอยากให้ลูกเก่ง เห็นลูกมีพรสวรรค์ด้านดนตรีก็จับให้เรียนเปียโน พอเราเล่นได้ดีก็ให้เล่นให้คนโน้นคนนี้ฟัง แล้วคุณแม่ก็จะยิ้มกริ่มภูมิใจว่า "ลูกฉันเก่ง"

คุณแม่เห็นว่าสมัยก่อนบ้านเรายังไม่มีสิ่งส่งเสริมการเรียนรู้เหมือนสมัยนี้ และอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษเก่ง จึงส่งดิฉันไปเมืองนอกตั้งแต่สิบขวบ ดิฉันเองเป็นนักผจญภัย ชอบขวนขวายหาความรู้ ชอบไปรู้ไปเห็นอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้การติดต่อระหว่างบ้านกับอังกฤษจะลำบาก ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง แต่ก็เป็นเด็กที่ไม่เคยเศร้า ไม่เคยมีปัญหา

อาจบอกได้ว่า ทุกสิ่งที่ทำมาในชีวิต ดิฉันไม่เคยวางแผนมาก่อนบางวันสมองสั่งบ้าง...หัวใจสั่งบ้าง ถึงได้เป็นคนไม่เครียด เครียดเป็นอย่างไรชีวิตนี้ไม่เคยรู้จัก ทำอะไรแม้จะไม่สำเร็จบ้างก็ไม่เป็นไร

ขอเพียงแต่ทุกวันต้องได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ?อย่างทุกวันนี้ถ้าวันไหนไม่ได้อ่าน?บางกอกโพสต์?กับ?เดอะเนชั่น?จะรู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน?และอ่านแมกกาซีนเช่น?ไทม์?หรือ?นิวสวีค?เสริมบ้าง?เปิดทีวี?ดูข่าวและรายการต่างๆ?เช่น?บีบีซี?ซีเอ็นเอ็น?เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก?หรือฮิสทรี่แชนเนล?ฯลฯ?ได้ความรู้ดีๆ?ทั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นก็รู้ก่อนคนอื่น

ส่วนที่สอง : การงาน
ดิฉันยึดหลัก Put the right manin the right job. คือ บริหารพนักงานด้วยการเลือกสิ่งที่เขาชอบให้เขาทำ แล้วเขาจะทำได้ดี?ดิฉันบอกได้เลยว่า สาเหตที่ธุรกิจการงานเจริญมาได้อย่างทุกวันนี้ เพราะเรามีผู้จัดการและสต๊าฟที่ทั้งเก่งและดีเยอะมาก ดิฉันเชื่อว่า ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ถ้าไม่มีทีมเวิร์คที่ดี นอกจากนั้น ลูกสาวสองคน คือ มาริสากับดารณี(คุณมาริสา สุโกศล หนุนภักดี และคุณดารณี สุโกศล แคลปป์)ก็มาช่วยดูแลทั้งในส่วนของมาร์เก็ตติ้งและการเงิน ซึ่งถ้าเปรียบบริษัทเป็นเหมือนช้างหนึ่งเชือก มาร์เก็ตติ้งก็เปรียบได้กับเท้าคู่หน้าการเงินเปรียบได้กับเท้าคู่หลัง ถ้าจะให้ธุรกิจยืนอยู่ได้ ก็ต้องทำให้ทั้งสองส่วนนี้แข็งแกร่ง

ส่วนที่สาม : เลี้ยงดูลูก
ดิฉันใช้วิธีให้อิสระกับลูกปล่อยให้เขาเรียนรู้และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น สมัยที่มาริสายังเล็กดิฉันเคยบังคับให้เรียนเปียโน ขี่ม้า ว่ายน้ำ และอีกสารพัด ซึ่งเขาทำได้ดีมากแต่การปล่อยให้ลูกๆ ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำต่างหากที่ทำให้เขามีความสุขมากกว่า พอเลี้ยงคนที่สองดิฉันจึงเลิกบังคับ เวลาลูกคนไหนมาปรึกษาว่าอยากทำโน่นอยากทำนี่ ดิฉันจะบอกว่า "ทำได้ แต่ขอให้เรานับถือคุณได้จากสิ่งที่คุณทำ" จากนั้นก็ทั้งช่วยทั้งเชียร์เต็มที่อีกอย่าง ดิฉันจะหาเวลาทานข้าวกับลูกๆ อย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อ เพื่อสร้างความอบอุ่นในครอบครัว

แต่การที่ลูกจะเป็นคนดีหรือเปล่าไม่ได้อยู่ที่พ่อแม่เท่านั้น เพื่อนฝูงก็สำคัญมาก สมัยก่อนบ้านดิฉันเหมือนสถานีหัวลำโพง ใครหาลูกไม่เจอก็มาหาที่นี่ บางวันมีเด็กอยู่ในบ้าน 30 – 40 คน เพราะลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ วัฒนธรรมของฝรั่งเขาจะชอบไปนอนค้างตามบ้านเพื่อน แล้วที่บ้านก็มีสระว่ายน้ำ มีที่ให้วิ่งเล่น สุกี้กับน้อย (คุณกมล สุโกศลและคุณกฤษดา สุโกศล แคลปป์) จะชอบพาเพื่อนมาค้างบ่อยๆ ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ว่า เราจะได้รู้จักเพื่อนของลูกด้วย

สุกี้เป็นคนที่เด็กแล้วแก่เลย คือเขาจะมีแต่เพื่อนที่แก่กว่า ตอนเขาอายุ 14 ก็คบกับเพื่อนอายุ 17 – 18 บางคนเป็นเด็กเกเรบางคนครอบครัวมีปัญหา มีอยู่คนหนึ่งหน้าตาท่าทางดีมาก แต่เป็นเด็กซึมเศร้า พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง เพื่อนเหล่านี้พอได้มารู้จักกับสุกี้ก็จะเห็นเขาเป็นที่พึ่ง มีเรื่องมาให้ช่วยสารพัด ดิฉันไม่เคยห้ามลูกเรื่องการคบเพื่อน เพราะจริงๆ แล้วเราห้ามเขาไม่ได้ และดิฉันไม่กลัวว่าเพื่อนจะพาเสีย เพราะเชื่อว่าไม่มีใครมีความสุขกับเรื่องไม่ดีเด็กส่วนใหญ่เกเรเพราะขาดความรักความอบอุ่น

สิ่งที่ดิฉันขอจากลูกมีอย่างเดียวคือ เรียนให้จบมหาวิทยาลัย แล้วจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็เชิญ มหาวิทยาลัยไม่ได้ทำให้เป็นคนเก่ง เป็นคนดี หรือทำงานเก่ง แต่ การเรียนทำให้มีความรู้ ซึ่งเป็นรากฐานที่ดีให้ต่อยอดไปได้

สิ่งที่ลูกทุกคนมีเหมือนกันคือ ความเฉลียวฉลาด พวกเขาไม่เคยก้าวร้าว และตัดสินใจเป็น คนตัดสินใจไม่เป็นจะไม่ก้าวหน้า เขาอาจจะตัดสินใจไม่เร็วเท่าดิฉัน แต่ในที่สุดเขาต้องกล้าที่จะตัดสินใจบางทีผิด บางทีถูก ก็ไม่เป็นไร

“เรามีเวลาเรียนรู้ชั่วชีวิต เพียงแต่ต้องรู้จักยอมรับผลของการกระทำด้วยเท่านั้นเอง”

*** เคล็ดลับสู่ความสุขและความสำเร็จแบบกมลา สุโกศล

สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดชีวิต
ใช้คนให้เหมาะกับงาน
สอนลูกให้เรียนรู้ชีวิต ให้อิสระในการคิดและทำสิ่งในที่ชอบพร้อมทั้งให้คำแนะนำและอยู่เคียงข้างเสมอ

Source: http://kbeautifullife.com/health_wellness/detail.php?id=12&type=impress
Live and Learn (Acoustic)
http://www.imeem.com/magotta/music/KEAuwZJP/live-and-learn-acoustic/

ชีวิตสองเส้นทางของ...กมลา สุโกศล


กมลา สุโกศล’ ผู้หญิงวัย 60 กว่า เจ้าของเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์กับเพลงไทยสากลสุดฮิต ‘live and learn’ เธอบอกว่า ทุกวันนี้เธอมีสองอาชีพนั่นก็คือ ‘นักธุรกิจ’ และ ‘นักร้อง’ ซึ่งเป็นสองบทบาทที่รักและมีความสุขที่ได้ทำ สองบทบาทนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร สีสันของชีวิตสองเส้นทางนี้สร้างความสนุก...สร้างความสุข และทำให้ชีวิตสวยงามอย่างไร เรื่องราวเหล่านี้ ได้ถูกบันทึกไว้... เพื่อรอการเปิดอ่าน...

ทราบว่า คุณกมลาเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ
ค่ะ ทำมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ คุณพ่อทำหลายอย่างค่ะ ทำเครื่องไฟฟ้า ทำเครื่องเสียง...คุณพ่อจะชอบซื้อบริษัทซึ่งมันล้มเหลวมาไว้ ตอนท่านเสียก็มีอยู่สิบกว่าบริษัท ครึ่งหนึ่งทำเงินต่อได้ ที่เหลือไม่ได้เรื่อง พอคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้วดิฉันก็ดูว่าตัวเองทำได้แค่ไหน ก็เอามาทำเฉพาะที่ทำได้แค่นั้น น้องสาวเอากิจการรถยนต์ไปทำ ดิฉันมาทำโรงแรม มี 3 โรงแรม ก็คือ โรงแรมสยามเบย์วิว โรงแรมสยามเบย์ชอว์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่พัทยา แล้วก็โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพฯ

ตอนที่คุณกมลาอายุแค่สิบกว่าขวบก็ไปเรียนที่อังกฤษแล้ว
ค่ะ อยากไปอยู่ ดิ้นรนที่จะไป คิดว่ายังไงก็จะไปให้ได้ ดิฉันอยากเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะ เมืองไทยเราสมัยก่อนทีวีก็ไม่มีดู ดิฉันชอบค้นคว้าค่ะ อยากรู้อยากเห็น เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่

คุณใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกี่ปีคะ
ยี่สิบกว่าปีค่ะ

อะไรทำให้คุณกมลากลับมาเมืองไทยคะ
ก็คุณพ่อไม่มีลูกชาย ไม่มีใครทำกิจการต่อ คุณพ่อก็ไปตื๊อ ๆ จนกลับมาจนได้ ...ตอนแรกคุณพ่อบอกให้ไปทำธุรกิจรถยนต์ ดิฉันก็ไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดีคุณพ่อก็บอกไปสร้างโรงแรมให้ทีสิ ฉันไปซื้อที่ดินไว้ที่พัทยา ดิฉันก็ไปขวนขวายหาวิธีไปกู้เงินเอง ก็ไปสร้างโรงแรมสยามเบย์ชอว์ รีสอร์ท (ชื่อเดิม) เสร็จแล้วพ่อก็ไปซื้อที่บนชายหาดเดียวกันอีก ดิฉันก็สร้างโรงแรมสยามเบย์วิวขึ้นมา คุณพ่อก็ไปซื้อตึกด้านข้างโรงแรมสยามซิตีมาอีกตึกหนึ่ง คุณพ่อบอกแกไปทำให้ฉันทีสิ ปัจจุบันเป็นส่วนของโรงแรมของสยามซิตีอยู่ขณะนี้

มีโรงแรมที่ต้องดูแลถึง 3 โรงแรม คุณกมลาเรียนรู้งานได้จากไหนคะ
ทำแล้วก็จะรู้ไปเอง แรก ๆ ก็ถูลู่ถูกังไปก่อน ก็ live and learn นั่นแหละ แต่ก็เหนื่อย แต่พอทำไปแล้วประสบความสำเร็จก็มีความพอใจเกิดขึ้น จะสำเร็จได้ต้องมีลูกน้อง ดี ๆ มีฝ่ายบริหารเก่ง ๆ ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป งานโรงแรมต้องมีทีมเวิร์คที่ดี ...แต่งานโรงแรมมันไม่มีจุดจบ มันไม่สมบูรณ์ ไปทุกอย่าง คุณต้องชอบเหนื่อย ต้องครีเอทีฟตลอดเวลาถึงจะทำงานโรงแรมได้

ความสนใจเรื่องการร้องเพลงมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
ของแบบนี้มันเรียนไม่ได้นะ มันเป็นพรสวรรค์ที่ตัวเองมีมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ พอได้ยินเพลงก็จะร้องได้ทันที ได้ยินอะไรปั๊บก็เล่นเปียโนได้โดยที่ไม่เคยหัดเล่น พอคุณแม่เห็นว่ามีหัวดนตรีคุณแม่เลยจับไปเรียนเปียโนเพราะมัน ไม่มีอย่างอื่นเรียน ก็เรียนเพลงคลาสสิก แต่พอไปอังกฤษก็ไม่เล่นเพลงคลาสสิก เหนื่อย ขี้เกียจซ้อม เพราะเพลงคลาสสิกถ้าจะเล่นให้ดีต้องมีความพยายามจริง ๆ ก็เลยเล่น เพลงแจ๊สเพลงอะไรไป ตรงนี้เลยทำให้เราป๊อปปูล่าในโรงเรียนเพราะเราแต่งเพลงให้โรงเรียนด้วย

ตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว ทราบว่าคุณเริ่มร้องเพลงจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนอายุได้ 40 ปีแล้ว
ใช่ค่ะ เรียกว่าเป็นการร้องที่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะแหม่มอเมริกันชื่อ Caroline Queener บอกให้ช่วยเด็กโรคหัวใจหน่อย ยูช่วยทำประชาสัมพันธ์ให้ที ให้คนรู้จักมูลนิธิฯของเรา เขาบอกให้ทำอย่างตอนที่ดิฉันทำที่โรงเรียน ISB ของลูกน่ะ เป็นการแสดงของพ่อแม่ เขาบอกยูเก่งจะตาย ทำอย่างนั้นละ ทำคอนเสิร์ต คนจะได้รู้ว่ามูลนิธิเด็ก โรคหัวใจคืออะไร ก็เลยเริ่มต้นจากงานนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเราเก่งแค่ไหน รู้แต่ว่าคนฟังบอกว่าเราเก่ง ก็เลยรู้สึกว่าเก่งกระมัง

คอนเสิร์ตทุกครั้งของคุณจะเพื่อการกุศลหมดเลย เป็นความตั้งใจส่วนตัวด้วยใช่ไหมคะ
ค่ะ อยากทำ ...ดิฉันมีความรู้สึกว่า เรามาได้ถึงแค่นี้ ลูกเต้า 4 คนก็ดีหมด หลาน ๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดูหมด เราก็ต้องปันไปให้คนอื่นเขาบ้าง ถ้าดิฉันไม่ได้ให้กลุ้มใจตาย เงินนี่ตายไปเอาไปไม่ได้นะ เงินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็จริง ใคร ๆ ก็ชอบ แต่มันก็ชั่วคราว ดิฉันรู้สึกว่าเรามีโชคมาถึงขนาดนี้ เราก็น่าจะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ยิ่งคนที่ประสบภัยโดยไม่รู้ตัว ยิ่งควรจะช่วยเหลือ
รายได้จากเทป ซีดี ทุกอันที่ ขายได้ก็ให้หมดนะ อะไรที่ออกมาจากการร้องเพลงเป็นส่วนตัวดิฉันจะให้หมด ไม่เคยไว้เลย

คุณกมลาในฐานะเป็นแม่ มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จคะ
คนถามบ่อยนะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าเขารู้ว่าเรารักเขานะ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ เราจะยืนหยัดอยู่ตรงนั้นเพื่อเขา เขาต้องการเราเขาก็จะมาหาเรา ดิฉันจะเลี้ยงลูกแบบให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะปล่อย แต่ต้องให้เขารู้นะว่าเวลาเขาต้องการเราเราจะอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เขาเกิดต้องการเราแล้วเราหายไป...ดิฉันไม่มีการเรียกร้องว่าลูกต้องมาอยู่กับแม่อาทิตย์ละครั้งนะ ไม่มี เขาจะอิสระ ความรักตัวเดียวเลย ให้เขารู้ว่าเรารักเขา

คุณกมลามองชีวิตตัวเองอย่างไรคะ
มีวันนี้ กับก้าวไปข้างหน้าให้ดีที่สุด มองสิ่งที่ผ่านไปให้เป็นประสบการณ์ อย่ามัวแต่ไปพูด ถึงว่า “รู้อย่างนี้ ทำอย่างนั้นดีกว่า” คิดไปให้เสียใจเปล่า ๆ โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก


ชีวิตไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบอย่างที่เธอว่า ทิ้งอดีตที่ผ่านมาให้เป็นประสบการณ์...ทำวันนี้และวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุดเพื่อที่วันหนึ่งคุณอาจจะได้พบความสุขอย่างกมลา สุโกศล... กับชีวิตสองเส้นทางที่เธอเลือกทำ

Source: http://women.sanook.com/work/worklife/life_09260.php