วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความโกรธเป็นศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์

ประจำวันที่ : 21 ก.พ. 53

ความโกรธ มาจากรากศัพท์ว่า โกธะ แปลว่า ความขุ่นเคือง มันจะเริ่มต้นมาจากอรติ – ความไม่พอใจ ถ้าระงับไว้ได้ก็จบแค่นั้น ถ้าระงับไม่ได้ก็จะไปถึงปฏิฆะ – ความหงุดหงิดรำคาญ ถ้าระงับไว้ได้แค่ปฏิฆะก็หายไป ถ้าระงับไม่ได้ก็จะกลายเป็นโกรธะ – ความขุ่น เหมือนน้ำที่เราต้มบนเตาไฟ ก็เริ่มขุ่น เริ่มหมุนเริ่มจะร้อน ถ้าระงับไว้ได้ก็ดีไป ระงับไม่ได้จะตามมาเป็นโทสะ – ความพลุ่งพล่าน ระงับไม่อยู่ก็พลุ่งพล่านออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ร้อนใจ ร้อนรน ถูกเผาให้ร้อนด้วยโทสะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในอาทิตตปริยายสูตร ทีว่าร้อนอยู่ด้วยไฟคือราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในที่นี่ก็ร้อนอยู่ด้วยโทสะ แล้วพลุ่งพล่านออกมา ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง

โทสะ ตามตัวบางทีแปลว่า คิดประทุษร้าย ถ้าประทุษร้ายได้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป

นี่พูดถึง ความหมายของเรื่องโกธะ สายของโกธะ หรือที่เราแปลว่าความโกรธ มันมาอย่างนี้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป

ความโกรธเป็น ศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งมวลน้อยคนนักที่จะเอาชนะมันได้ โดยเด็ดขาด ส่วนมากพ่ายแพ้ต่อมัน มันเป็นผู้ชนะที่ไม่ปรานีต่อผู้แพ้ เพราะทำผู้แพ้ให้ประสบภัยพิบัติต่างๆเหลือที่จะกล่าว แต่ถ้าใครชนะมันได้ มันก็จะให้รางวัลที่ประเสริฐสุดต่อบุคคลผู้นั้น คือความสงบสุขของดวงจิตซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของมนุษย์

ขอให้เรามาเป็นนักศึกษาเพื่อเข้าใจความโกรธ เข้าใจถึงโทษและทางออก ขอให้เรามาเป็นนักรบเพื่อชนะความโกรธแค้นกันบ้างเถิด จะเห็นว่ามีคุณค่าแก่ชีวิตของเรามากมายเหลือเกิน คือจิตใจจะสงบเย็นมากกว่าปกติ แม้จะยังไม่เป็นพระอริยะ แต่จิตใจจะสงบเยือกเย็นมากกว่าคนธรรมดา

ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความโกรธแล้ว แต่เป็นเพียงนักศึกษาผู้ที่ฝึกฝนในเรื่องนี้เท่านั้น และรู้สึกว่าได้เห็นผลของการฝึกฝนพอสมควร จึงอยากจะชักชวนพุทธบริษัทให้สนใจในเรื่องนี้ ขอให้พยายามตั้งสัจจาธิษฐานว่า เราจะพยายามครอบงำความโกรธให้ได้มากที่สุด คราวใดที่แสดงความโกรธ ถึงจะชนะคนอื่น ถึงจะเถียงเขาชนะ คือโวหารหรือวาทะเหนือกว่าในการโต้ตอบ แต่ว่าเราแพ้ตัวเอง

ทางหนึ่งที่เราจะเอาชนะตนเองได้คือ ยอมแพ้ผู้อื่น เพราะว่าโดยปกติธรรมดา พวกเรามักมีนิสัยชอบเอาชนะผู้อื่น แต่ว่าพ่ายแพ้ตนเองโดนที่เราไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้แพ้แล้ว เราโกรธ เราเกลียด เราริษยาด่าทอผู้อื่น เมื่อเขานิ่งไม่โต้ตอบ เราก็คิดว่าเราชนะแล้ว แต่ที่จริงเราพ่ายแพ้ตนเองไปก่อนแล้ว เขาผู้อดทนและนิ่งได้ นั่นแหละเป็นผู้ชนะ

ผู้ที่จะเอาชนะตนเองได้ ต้องเป็นคนผู้ฝึกฝนอยู่เสมอ ให้เข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น เดินออกไปเสียจากตัวเอง คือไม่มามุ่นอยู่แต่ความต้องการของตน นึกอยู่เสมอถึงความต้องการของผู้อื่น คือเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นอย่างน้อยก็เสมอกับตัวเอง

ในการยอมแพ้ผู้อื่นหรือพ่ายแพ้ตนเองก็ตาม ถ้าเรายอมแพ้โดยตั้งใจ เราจะไม่มีความขัดแย้งในใจ เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความพ่ายแพ้ เราจะมีความสุขมีความพอใจในความพ่ายแพ้นั้นลักษณะนี้ก็จะทำให้เป็นผู้ชนะใน ความแพ้ คือเอาชนะตนเองได้ ไม่เป็นทุกข์ในความพ่ายแพ้

ฝึกตนให้เป็น คนยอมแพ้เพื่อชัยชนะ และให้เป็นผู้ชนะในความแพ้อยู่เสมอ ก็จะเป็นจ้าวแห่งความสุข ไม่มีอะไรมาทำลายได้

มีโคลงอยู่บทหนึ่ง จำเขามาแต่นึกไม่ออกว่าแหล่งที่มาเป็นที่ไหนบอกว่า

ฆ่าสัตว์เพื่อเสพเนื้อ อีกหวัง
กระดูกงาเขาหนัง เพื่อใช้
ได้สุขแต่ก็ยัง เป็นบาป กรรมเฮย
ฆ่าความโกรธนั้นไซร้ ประโยชน์แท้ บุญเหลือ

ความโกรธไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตามความเข้าใจของคนส่วนมากที่มักหวงแหนความโกรธไว้ เป็นของตน คือเห็นเป็นสิ่งธรรมดาที่จะต้องมีความ โกรธ เหมือนกับเรากินข้าว อาบ น้ำ และขับถ่าย แต่ว่าความโกรธเป็นปัญหาชีวิต ทำให้เกิดปัญหาชีวิต ทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต เป็นเคราะห์ร้ายของคน เราควรจะละอายตัวเอง ละอายผู้อื่น ทุกครั้งที่เราโกรธจนต้องแสดงกิริยาอาการออกมาเหมือนเราเป็นโรคผิวหนังลอง ฟังเสียงตัวเราเองเวลาเราพูดด้วยความโกรธ จะเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังเลย ไม่น่ารักเลย มันเป็นไปเอง โดยที่เราบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับให้นุ่มนวลให้เรียบสักเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเพลิงโทสะมันเผาอยู่ข้างใน มันเหมือนกับว่ามีไฟแล้วก็มีควันออกมา

ใครทำให้เรา โกรธบ่อยๆ เราก็ควรหลีกเลี่ยงคนนั้นเสีย เพราะว่าความโกรธบ่อยๆ และถ้ารุนแรงด้วยจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตมาก มันทำให้หัวใจเต้นแรง เพราะอดรีนาลินมันหลั่งออกมาสารนี้ทำให้ร่างกายวิปริตไปหรือเปลี่ยนแปลงไป เป็นอันตรายมาก บางคนเป็นผู้ใหญ่ โกรธแล้วช็อกตายไปเลยก็มี เคยมีคนสูงอายุโกรธคนใช้มากเอาปืนจะยิงคนใช้ กลับล้มลงตายทั้งที่ยังไม่ทันได้ยิง ฉะนั้นความโกรธนี่มันฆ่าคนไปเยอะแล้ว ฆ่าคนทั้งโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง โดยอ้อมก็คือเป็นเหตุให้คนอื่นมาฆ่าเรา เพราะความโกรธของเราไปประทุษร้ายเขา เขาก็โกรธตอบ บางทีก็มาฆ่า ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย

นอกจากนี้ยัง เป็นการสะสมปฏิฆานุสัย คือ กิเลสสายโทสะส่วนละเอียด ซึ่งจะลงไปก่อตัวสะสมกันอยู่ในจิตส่วนลึก นานไปก็ทำให้เป็นคนมีนิสัยขี้โกรธ กระทบอะไรนิดหน่อยไม่ได้ เหมือนเนื้อส่วนที่เป็นแผลกระทบอะไรเข้าหน่อยก็เจ็บ และเจ็บมากกว่าเนื้อส่วนที่เป็นปกติ เนื้อปกติเอาไม้มาโดนเข้าเอาอะไรมาถูกเข้ามันก็ไม่เป็นอะไร แต่เนื้อที่เป็นแผลอยู่ แม้โดนไม้ธรรมดา ถูกเข้าไปมันก็เจ็บมาก บางทีอาจจะลืมตัวฟาดคนอื่นไป เพราะความเจ็บอันนั้น

ฉะนั้น เราไม่ควรสะสมสิ่งที่ทำให้จิตของเราเป็นแผล ถ้าเป็นแล้วก็ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเรื้อรัง รักษายาก อาจไม่หายเลยก็ได้ ก่อให้เกิดทุกข์ทรมานแก่เราไปตลอดชีวิต เราควรยอมให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะทุกข์ ดังนั้นเราจึงควรกำหนดรู้ทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ เพื่อจะได้ไม่ทุกข์ เหมือนเราเรียนเรื่องโรค เพื่อจะได้ไม่เป็นโรค เพื่อจะได้หาทางป้องกันโรค หาทางบำบัดโรค

ทุกครั้งที่เราโกรธ เราควรละอายตัวเองให้มาก โดย เฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกที่ดี อาจรู้สึกว่าค่าของตนลดต่ำลง เป็นคนไร้ค่าเลยทีเดียว เพราะว่าบางทีด้วยอำนาจของความโกรธ มันทำให้แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ซึ่งเวลาปกติที่ไม่โกรธมันทำไม่ได้ มันพูดไม่ได้ แต่มันก็ทำได้พูด ได้เวลาโกรธ

ขอให้ท่อง สุภาษิตสั้นๆ เอาไว้ว่า “ถ้าเราไม่ ฆ่ามัน(ความโกรธ) มันก็ฆ่าเรา)” ความโกรธ ความวิตกกังวล ความหมกมุ่นครุ่นคิด ความปล่อยให้สังขารมันปรุงจิตของเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันฆ่าเราแน่ๆ

เรื่องเล็กน้อย แต่พอเวลาความโกรธเข้าครอบงำจิต ทำให้จิตมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่เท่าภูเขา พอหายโกรธแล้ว จึงเห็นเท่าเม็ดทรายหรือเท่าขี้ผง จะเขี่ยทิ้งไปเมื่อไรก็ได้ ความรัก ความโลภ ก็เช่นเดียวกันเป็นสิ่งที่พรางตา พรางใจ เป็นสิ่งที่บิดเบือนให้เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

ความโกรธอาจเกิดจากการที่เราต้องการจะควบคุมอะไรสักอย่างหนึ่งหรือใครสักคนหนึ่งให้เป็น ไปตามที่เราปรารถนา แต่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยเพียงพอ ถ้าเราคุมไม่ได้ ก็แสดงว่าเหตุปัจจัยไม่เพียงพอ เราจะไปโทษอะไรสักเท่าไรก็ไม่ได้ มันอยู่ที่เหตุปัจจัย

ยิ่งเป็นคนด้วยแล้ว ยิ่งควบคุมยาก ถ้าเราต้องการควบคุมใครเมื่อไร นั่นคือปัญหาและทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา แม้ว่าจะควบคุมได้บ้างเป็นบางคราว ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฝืดฝืนแห้งแล้ง ไม่สละสลวยกลมกลืนนุ่มนวล ชุ่ม ฉ่ำ เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ

เขาจะรัก จะชัง จะเกลียด จะชอบ เบื่อ ฯลฯ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราเป็นแต่เพียงผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง เหมือนฝนตก แดดออก เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น เราจะไปควบคุมมันได้อย่างไร เราอาจจะหาทางป้องกันตัวเองได้บ้าง เช่น กางร่ม สวมหมวก เพื่อกันแดดกันฝน หรือไม่ออกไปข้างนอกเสียก็ได้ เราก็ไม่ถูกแดด ไม่ถูกฝน เราทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนฝนจะตก แดดจะออก ย่อมอยู่เหนือการควบคุมของเรา ก็คือหาวิธีที่พอจะป้องกันตัวเราเองได้เท่านั้น

ข้อมูลจากหนังสือ วิธีลดละความโกรธ โดย วศิน อินทสระ สนพ.ธรรมดา

Source:http://www.mannature.com/view.asp?ID=92

อัมพาตครึ่งใบหน้า


หากจะกล่าวถึงชื่อ “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เคยผ่านการทำงานมาหลากรูปแบบ หลายแขนง จนภาพของหนุ่มใหญ่รายนี้ในสายตาประชาชนทั่วไป เป็นภาพของทั้งนักการเมือง นักการศึกษา นักบริหาร นักวางนโยบาย และอีกหลายๆ “นัก” ที่เกิดจากประสบการณ์อันมีคุณค่าที่เจ้าตัวได้สั่งสมมาตลอดเส้นทางสายชีวิต ทำให้หลายๆ คนมองว่าดร.อาทิตย์ เป็นคนทำงานกระฉับกระเฉง ทำงานฉับไว สุขภาพดี แต่ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ หนุ่มใหญ่รายนี้เพิ่งจะถึงขั้น “ล้มหมอนนอนเสื่อ” ด้วยโรคที่เราๆ ท่านๆ ไม่ค่อยจะคุ้นหูกันนัก

“ผม เพิ่งจะป่วยเป็นโรค Bell's Palsy ฟังดูชื่อไม่ค่อยจะคุ้นกันเท่าไหร่ มันมาจากชื่อของหมอที่ค้นพบ และศึกษาโรคนี้เป็นคนแรกที่ชื่อ หมอเบลล์ ตอนนี้ก็กำลังรักษาอยู่ นี่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว รักษาทั้งยาและการทำกายภาพบำบัดครับ”

อธิการมหาวิทยาลัยรังสิต เริ่มต้นเปิดประสบการณ์ป่วยในครั้งนี้ ก่อนจะอธิบายว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดอาการป่วยด้วยโรคนี้ ได้ไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารริมถนน ที่ฝุ่นค่อนข้างมาก หลังจากนั้น กลับมาถึงบ้านก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ

“อาการของผมมันเริ่มด้วยความ รู้สึกปวดๆ ที่หลังหู ลักษณะอาการปวดมันจะปวดแบบแปล๊บๆ ปวดเหมือนไฟช็อต ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็ปล่อยไปจนเริ่มรู้สึกผิดปกติที่บริเวณใบหน้า”

ดร.อาทิตย์ กล่าวต่อว่า อาการเจ็บแปล๊บๆ ที่หลังหูนั้น มาทราบเอาภายหลังหลังจากเข้ารับการรักษา โดยได้รับคำอธิบายจากแพทย์เจ้าของไข้ ว่า เกิดจากอาการปลายประสาทคู่ที่ 7 ของสมองซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเกิดอักเสบ

“สิ่ง บ่งบอกให้ผมรู้ตัวว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติก็คือ ผมล้างหน้าแล้วน้ำเข้าตา เ พราะดวงตามันปิดไม่สนิท ต่อมาอีกราวๆ 2-3 วัน มีต้องไปงาน เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกเลยว่าปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้ ก็โทรหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่า ให้รีบมา อาการที่บอกน่าจะเกิดจากโรค Bell's Palsy เราก็ถามคุณหมอเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มาจากไหน คุณหมอก็บอกว่าอาจจะเป็นไวรัส”

ดร.อาทิตย์ กล่าวอีกด้วยว่า ระหว่างที่ป่วยไม่ได้มีอาการเจ็บปวด แต่จะรู้สึกอึดอัดทรมานกับภาวะที่ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าตัวเองได้ “ยิ้มไม่ได้ กินข้าวก็ลำบากขึ้น แต่ที่ยากที่สุดคือการดื่มน้ำ เพราะมันคุมปากไม่ได้ มันจะรั่วออกมา” อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับใคร และกลุ่มเสี่ยงอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ เพศไหน เกิดจากสาเหตุ ใด "นพ.เอกพจน์ นิ่มกุลรัตน์" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ประสาทวิทยา ให้ความกระจ่างในข้อสงสัยนี้ว่า โรค Bell's Palsy นี้ คือโรคที่ก่อให้เกิดภาวะอัมพาตบนใบหน้า

“Bell's Palsy เป็นการอักเสบของเส้นประสาทของสมองคู่ที่7 ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อ จริงๆ ทั่วโลกก็มีคนป่วยเป็นโรคนี้ แต่ไม่ได้มีการเก็บสถิติว่ามีมากน้อยแค่ไหน แล้วจนปัจจุบันก็ยังไม่แน่ชัดว่าสาเหตุจริงๆ เกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส โรค นี้เกิดกับคนได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อายุมากๆ จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าวัยอื่น”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทรายนี้ กล่าวต่ออีกว่า นับว่า ดร.อาทิตย์ เป็นผู้ป่วยที่โชคดีมาก ที่ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายเร็ว และมาพบแพทย์เร็ว เพราะหากรักษาทันในระยะที่เพิ่งจะเริ่มป่วย 2-3 วันแรก การรักษาจะง่ายกว่า และจะหายเร็วกว่า แต่หากปล่อยให้นานกว่านี้ คือ 4-5 วันนับแต่รู้สึกว่าเกิดความผิดปกติจะถือว่าค่อนข้างช้า และทำให้การรักษายากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หายช้ากว่าเดิมหลายเดือนเลยทีเดียว

“โรค นี้ไม่ได้ทำให้ถึงกับเสียชีวิต มากที่สุดก็คือ ใบหน้าจะเป็นอัมพาตถาวร ซึ่งแม้มันจะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องของรูปลักษณ์ เพราะเวลาไปไหนมาไหนคนเราก็ดูหน้าก่อนเป็นอย่างแรก หากเป็นอัมพาตไปครึ่งหน้า ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ปากเบี้ยว ยิ้มแล้วปากไม่เท่ากัน มันก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพพอสมควร”

นพ.เอกพจน์ กล่าวอีกว่า อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรค Bell's Palsy ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน คือมีไข้ต่ำๆ และรู้สึกปวดเมื่อเนื้อตัวคล้ายๆ จะเริ่มเป็นหวัด หลังจากนั้น ก็จะมีอาการปวดแปล๊บๆ ที่เส้นประสาทสมองคู่ที่7 จากปลายประสาทอักเสบ ไปจนถึงภาวะอัมพาตครึ่งใบหน้าที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าของ ตัวเองได้

“วิธีการรักษาทั่วไปก็คือจะให้ยาเสตียรอยด์ควบคู่ไปกับการให้ยาบำรุงปลายประสาทที่อักเสบ และทำกายภาพบำบัด ส่วนการป้องกันนั้น เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าโรค Bell's palsy นี้เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเกิดจากไวรัสที่ขณะนี้ยังไม่ทราบชนิดที่แน่ชัด วิธีการป้องกันก็คือทำร่างกายให้แข็งแรงและพักผ่อนให้เพียงพอครับ โรคนี้ไม่ได้ไกลตัว สามารถเกิดขึ้นได้ และหากรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติอย่างที่อธิบายมา ผู้ป่วยควรต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที” นพ.เอกพจน์ ทิ้งท้าย

Source: http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037561

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี


ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ.2225
สิริรวมอายุได้ 99 ปี
คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด
ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์ ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก
ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย
บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย
ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น
ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าสิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ
อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง
ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้วถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์
กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง
มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ
โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง
ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา
ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย
หยุดพิจารณา
คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้น ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม
ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก
มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง
เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า
พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ขมิ้นชัน

ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน
ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้
ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ทั้ง 3 ตัว วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ซึ่งจะมีผลทำให้
- ช่วยลดไขมันในตับ
- สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหาร
- ทำความสะอาดให้ลำไส้
- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง
- ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี
กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา
กินตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินในจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ
กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร
ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุก ไม่ต้องถึงกับเฮฮาปาร์ตี้ แค่ใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน
ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ
ต้องปอกเปลือกออกให้หมดก่อน เพราะที่เปลือกมีสารพิษอยู่ แต่ถ้าทำขมิ้นชันบดเป็นผงต้องนำขมิ้นชันมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นชันแห้ง ความร้อนควรไม่เกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้
นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)
ช่วงเวลา เป็นเวลาของ
03.00 - 05.00 น. ปอด
05.00 - 07.00 น. ลำไส้ใหญ่
07.00 - 09.00 น. กระเพาะอาหาร
09.00 - 11.00 น. ม้าม
11.00 - 13.00 น. หัวใจ
13.00 - 15.00 น. ลำไส้เล็ก
15.00 - 17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ
17.00 - 19.00 น. ไต
19.00 - 21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ
21.00 - 23.00 น. พลังงานรวม
23.00 - 01.00 น. ถุงน้ำดี
01.00 - 03.00 น. ตับ
กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น
( เวลา 03.00 - 05.00 น. ) ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเรงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง
( เวลา 05.00 - 07.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้ชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือนำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆอยู่เป็นล้านๆเส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้
( เวลา07.00 - 09.000 น. ) ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม
( เวลา 09.00 - 11.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน
( เวลา 11.00 -13.00 น. ) ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป
( เวลา 13.00 - 15.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป
( เวลา 15.00 - 17.00 น. ) ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้
กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก
การกินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มีสเตอรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ

ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว(ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
- ผ่านลำคอ ช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ แล้วไปผ่านปอดช่วยดูแลปอดให้หายใจดีขึ้น ลดความชื้นของปวด
- ผ่านม้าม ก็ลดไขมัน และปรับน้ำเหลืองไม่ให้น้ำเหลืองเสีย
- ผ่านกระเพาะอาหาร ก็จะรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ผ่านลำไส้ ก็สมานแผลในลำไส้
- ผ่านตับ ก็ไปบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ

ขมิ้นชันยังช่วยดูแลเซลล์ต่างๆ ที่ฉีกขาด ก็จะไปเชื่อมให้ และไปกวาดขยะ กวาดไขมันมากองไว้ ถ้าจะอุ้มขยะไปทิ้งโดยการขับถ่ายก็กินอาหารปกติ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ที่มีกากใย หรือ กินน้ำลูกสำรอง(พุงทลาย) เพื่ออุ้มไขมัน อุ้มแก๊สไปทิ้ง
*คนธาตุเบา แสดงว่ามีการระคายเคือง อักเสบ เป็นแผลเรื้อรังบางอย่างที่ผนังลำไส้เป็นอาจิณ
*คนธาตุหนัก แสดงว่าปลายประสาทลำไส้ใหญ่เสื่อม อาจเกิดจากการกินยาถ่ายเป็นประจำ หรือกินน้ำน้อย
ทั้งธาตุเบาและธาตุหนัก ไม่ดีทั้งคู่ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ามีปัญหาที่ลำไส้ และปลายประสาทลำไส้ใหญ่ผิดปกติ หากปล่อยไว้ วันข้างหน้าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ควรกินขมิ้นชันเป็นประจำ เพื่อค่อยๆ ปรับให้เข้าที่แล้ว กลับมาถ่ายได้อย่างปกติ
จากหนังสือ กินเป็น ลืมป่วย ล้างพิษในร่างกาย

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ห้องที่ชื่อว่าใจ

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ... หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้ ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...


ว.วชิรเมธี

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

"ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด"

ลูกชายไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

"ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดีและได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

"แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ

"ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง"

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง"

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก"

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

"พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

"ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด"

ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

"เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

"พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ"

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

"พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ"

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก"

"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า "ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว"

แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว

ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

"ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"

แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา"

"อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำและยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้านและกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

7 Easy Ways to Lose Weight Without Starving or Breaking a Sweat


By Liz Vaccariello, Editor-in-Chief, Prevention

Weight loss requires two things: burning calories through exercise and cutting them through smart food choices and portion control. In theory, you could create a calorie deficit by spending hours at the gym, but that's not realistic-or much fun. And who wants to live on lettuce leaves? Instead, try these seven everyday moves to drop pounds effortlessly.

1. Fidget
James Levine, MD, of the Mayo Clinic in Rochester, MN, has spent a decade studying the role that everyday movement, or NEAT (nonexercise activity thermogenesis), plays in metabolism. His discovery: People who tap their feet, prefer standing to sitting, and generally move around a lot burn up to 350 more calories a day than those who sit still. That adds up to nearly 37 pounds a year!

2. Keep most meals under 400 calories
Study after study recommends spacing out your meals at regular intervals and keeping them all about the same size. Eating meals at regular intervals has been linked to greater calorie burning after eating, better response to insulin, and lower fasting blood cholesterol levels. When you eat regular meals throughout the day, you're less likely to become ravenous and overeat.

3. Take yourself off cruise control
Increase the intensity of your everyday tasks, from vacuuming to walking the dog, recommends Douglas Brooks, an exercise physiologist and personal trainer in Northern California. "Turn on some music, add in some vigorous bursts, and enjoy the movement," he says.

4. Drink 8 glasses of water per day
Water is not just a thirst quencher--it may speed the body's metabolism. Researchers in Germany found that drinking two 8-ounce glasses of cold water increased their subjects' metabolic rate by 30%, and the effect persisted for 90 minutes. One-third of the boost came from the body's efforts to warm the water, but the rest was due to the work the body did to absorb it. "When drinking water, no calories are ingested but calories are used, unlike when drinking sodas, where additional calories are ingested and possibly stored," explains the lead researcher, Michael Boschmann, MD, of University Medicine Berlin. Increasing water consumption to eight glasses per day may help you lose about 8 pounds in a year, he says, so try drinking a glass before meals and snacks and before consuming sweetened drinks or juices.

5. Step it up--and down
Climbing stairs is a great leg strengthener, because you're lifting your body weight against gravity. In addition to taking the stairs at every opportunity, try stepping up and down on the curb while you're waiting for the bus or filling your gas tank, says Brooks.

6. Use grocery bags as dumbbells
Letting someone else load your groceries or carry your suitcase is an opportunity missed for strengthening and calorie burning, says certified coach Beth Rothenberg, who teaches a class for fitness professionals at UCLA. "Carry your groceries, balanced with a bag in each hand, even if you have to make several trips," she says. "And pack two smaller suitcases instead of one big one, so you can carry them yourself."

7. Eat 4 g of fiber at every meal
A high-fiber diet can lower your caloric intake without making you feel deprived. In a Tufts University study, women who ate 13 g of fiber or less per day were five times as likely to be overweight as those who ate more fiber. Experts see a number of mechanisms through which fiber promotes weight loss: It may slow down eating because it requires more chewing, speed the passage of food through the digestive tract, and boost satiety hormones. To get 25 g of fiber a day, make sure you eat six meals or snacks, each of which contains about 4 g of fiber. For to-go snacks, buy fruit; it's handier than vegetables, so it's an easy way to up your fiber intake. One large apple has just as much fiber (5 g) as a cup of raw broccoli.

Source: http://health.yahoo.com/featured/78/7-easy-ways-to-lose-weight-without-starving-or-breaking-a-sweat/