วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้


ทิ้งท้ายกันที่ "นพ.เฉก ธนะสิริ" ประธานกิตติมศักดิ์ชมรมอยู่ 100 ปี-ชีวีเป็นสุข ปัจจุบันอายุ 85 ปี ผู้ที่บอกกับตัวเองว่าจะอยู่ให้ถึงอายุ 120 ปี เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพในหนังสือ "อายุ 120 ปี ทำไมจะทำให้ไม่ได้" ว่า การปฏิบัติตนให้มีอายุยืนยาวอย่างมีพฤฒิพลังถึง 120 ปีนั้น จำเป็นต้องปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้

1. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนักเบาตามอายุ แต่การออกกำลังต้องให้ได้ออกซิเจนสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังแอโรบิกไปจนตายนั้น ให้ใช้หลักที่ว่า อยากมีแรง ต้องออกแรง (หรือทำงานกลางแจ้งตลอดชีวิต)

2. ต้องกินอาหารธรรมชาติ คือ พืชพรรณธัญญาหาร เช่น แป้งเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด เผือก มัน ผลไม้ และผักหลากสี หลากรส ลดเนื้อสัตว์ 4 ตีน และ 2 ตีน วันหนึ่งกิน 2 มื้อ ก็เพียงพอแล้ว งด หรือลดมื้อเย็น ใช้หลักที่ว่า กินน้อย-ตายยาก กินมาก-ตายเร็ว อาหารอายุสั้น (ผักสด ผลไม้สด) ทำให้อายุยืน ในขณะที่อาหารอายุยืน (กระป๋อง หรืออาหารซอง เช่น แฮม เบคอน ไส้กรอก แหนม) จะทำให้อายุสั้น

3. ต้องดื่มน้ำสะอาด น้ำเปล่าๆ วันละ 10-12 แก้ว (ไม่ดื่มขณะกินอาหาร และอย่ารอให้รู้สึกกระหายแล้วจึงดื่ม แต่ควรดื่มบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ ดีที่สุด)

4. ต้องพักผ่อนนอนหลับให้สนิท และการทำจิตใจให้สงบ จะช่วยทำให้ภูมิต้านทานในตัวมีสูงมาก เชื้อโรคจะแพ้เรา และจะต้องไม่สร้างปัญหาชีวิตให้แก่ตัวเอง ครอบครัว และสังคม หากเป็นไปได้ ให้ฝึกเจริญสมาธิ-วิปัสสนากรรมฐาน เป็นนิจสิน ดำเนินชีวิตทุกๆ ด้านด้วยปัญญา (ศีล สมาธิ ปัญญา คือไตรสิกขา) และจงมั่นใจว่า การฝึกจิตให้นิ่งเป็นจิตที่มีพลังสูง การจะนอนหลับให้สนิท อาหารมื้อเย็นจะต้องน้อยมาก

5. หมั่นสร้างแต่กรรมดี สร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นความชั่วทุกชนิด โดยยึดหลัก "ไตรสิกขา" คือรักษาศีล 5 ข้อ เจริญสมาธิ หรือเจริญสติก็จะเกิดปัญญารู้ เอาปัญญาไปแก้ปัญหา นอกจากนั้นก็ควรรู้จักให้ทาน (ทานเป็นทางแห่งความสุข) และตั้งโปรแกรมจิตให้กับตัวเองทุกวัน เวลาที่จะมีชีวิตยืนยาว 120 ปี อย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกาย คือ ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะต้องดูแลระมัดระวังให้ทำหน้าที่อย่างดี อยู่เสมอ ส่วนโปรแกรมที่จะป้อนเข้าไปเพื่อให้ได้ข้อมูลนั้นก็คือ ซอฟต์แวร์ ที่หมายถึง "จิต" ของเรานั่นเอง

เพราะฉะนั้น การจะตั้งใจให้ได้ผลออกมาดีนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าให้ใช้หลัก อิทธิบาท 4 หมายถึง สิ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ 4 อย่าง คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา นั่นคือความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติตัว ใจจะต้องจดจ่อกับสิ่งนั้นๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ

คัดลอกมา

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พุทธธรรม ศีลธรรม กับประชาธิปไตย

พระไพศาล วิสาโล
ปาฐกถานำในการประชุมประจำปีของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย
ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตีพิมพ์ที่ นิตยสารวิภาษา
สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวัฒนธรรม
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๖ ลำดับที่ ๒๒
๑พ.ย. - ๑๕ ธ.ค. ๕๒

ระบอบการปกครองทุกอย่างจะทำงานได้ด้วยดีย่อมต้องอาศัยระบบศีลธรรมทั้งของผู้ปกครองและประชาชนเป็นตัวรองรับ ระบอบประชาธิปไตยก็เช่นกัน ในระบอบนี้ศีลธรรมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือศีลธรรมของประชาชน เหตุผลก็เพราะผู้นำนั้นมาจากประชาชน ถ้าประชาชนมีศีลธรรมก็ย่อมได้ผู้นำที่มีศีลธรรมด้วย ใช่แต่เท่านั้นระบอบนี้ยังถือว่าประชาชนเป็นใหญ่ ในความหมายว่าประชาชนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับประเทศ ดังนั้นคุณภาพของประชาชนจึงเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับสัมฤทธิผลของประชาธิปไตย

พุทธศาสนามีระบบศีลธรรมที่สามารถส่งเสริมคุณภาพของประชาชนให้เกื้อกูลต่อประชาธิปไตยได้ การที่ประชาธิปไตยสถาปนาในสังคมที่มีพุทธศาสนาหยั่งรากลึกมาช้านาน ย่อมน่าจะเจริญก้าวหน้าด้วยดี แต่ในกรณีของประเทศไทยความจริงดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุปัจจัยนั้นย่อมมีอยู่มากมาย แต่ก็เป็นไปได้ว่าระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาที่เป็นอยู่ อาจไม่เกื้อกูลต่อระบอบประชาธิปไตยมากนัก

สองมิติที่ขาดหายไป
ในความเข้าใจของคนทั่วไป พุทธศาสนาเป็นคำสอนและระบบปฏิบัติทางศีลธรรมเท่านั้น นั่นคือสอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทัศนะดังกล่าวมีปัญหาในตัวเองตรงที่

๑) ละเลยมิติด้านโลกุตตรธรรมของพุทธศาสนา ซึ่งมีจุดหมายสูงสุดที่การเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งจนอยู่เหนือดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ นั่นคือเข้าถึงนิพพาน

๒) ละเลยมิติทางสังคมของพุทธศาสนา ในความหมายที่ว่า
-พุทธศาสนาไม่ได้มีแต่หลักธรรมที่มุ่งพัฒนาบุคคลเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ดีงามด้วย ทั้งส่วนที่เป็นธรรมและวินัย
-นอกจากหลักธรรมว่าข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคลแล้ว ยังมีหลักธรรมว่าด้วยหน้าที่ต่อบุคคลต่อส่วนรวมหรือสังคมด้วย

หากมิติทางโลกุตตรธรรมทำให้มนุษย์เข้าถึงศักยภาพส่วนที่ลึกที่สุด มิติทางสังคมก็ช่วย ขยายสำนึกและสัมพันธภาพของมนุษย์ออกไปอย่างกว้างขวาง จนหลุดพ้นจากตนเองหรือแวดวงเล็ก ๆ ที่แวดล้อมตน เกิดสำนึกความรับผิดชอบและผูกพันต่อสังคมวงกว้าง

การที่ศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่สอนในปัจจุบันเน้นคุณธรรมส่วนบุคคลหรือการทำดีระหว่างบุคคลต่อบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับชุมชนระดับหมู่บ้าน แต่ในสังคมประชาธิปไตย คุณธรรมระดับนี้ย่อมไม่พอเพียง เพราะทุกคนยังมีหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อส่วนรวมซึ่งเป็นสังคมที่กว้างใหญ่ระดับรัฐชาติ

ในสังคมประชาธิปไตย ผู้คนไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ระดับบุคคลหรือระหว่างบุคคล แต่ยังมีความสัมพันธ์ในเชิงสังคม ซึ่งไม่เจาะจงหรือขึ้นอยู่กับตัวบุคคล (impersonal) เช่นความสัมพันธ์ที่ผ่านองค์กร สถาบัน ระบบ หรือการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยความเชื่อ ค่านิยมและอุดมการณ์เดียวกัน โดยไม่จำต้องรู้จักมักคุ้นกัน

ความปกติสุขในสังคมและความผาสุกส่วนบุคคลในปัจจุบัน จึงมิได้ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลมีธรรมะต่อกันและกันเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่อสังคมอย่างถูกต้อง เช่น คำนึงถึงประโยชน์สุขของสังคม เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม รักษาสมบัติของสาธารณะ สร้างความเป็นธรรมในสังคม ปกป้องสิทธิเสรีภาพที่ยึดถือร่วมกัน เป็นต้น

ปัญหาดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาของพุทธศาสนามากเท่ากับเป็นปัญหาของการสอนศีลธรรมในปัจจุบัน เพราะระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาในความเป็นจริงแล้ว นอกจากพูดถึงคุณธรรมส่วนบุคคล หรือข้อประพฤติปฏิบัติระหว่างบุคคล เช่น ศีล ๕ ทิศ ๖ หรือพรหมวิหาร ๔ ยังครอบคลุมไปถึงคุณธรรมต่อส่วนรวม มีธรรมหลายข้อที่ว่าด้วยข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมโดยตรง โดยไม่เพียงแต่จะพูดถึงข้อปฏิบัติระหว่างบุคคลกับบุคคล(เช่น สาราณียธรรม ๖ หรือหลักการอยู่ร่วมกัน) เท่านั้น หากรวมถึงข้อปฏิบัติต่อหลักการหรือสมบัติของส่วนรวม (เช่น อปริหานิยธรรม ๗ หรือธรรมอันเป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวของหมู่ชน)

อปริหานิยธรรมเป็นคุณธรรมที่ไม่เน้นแสดงต่อตัวบุคคล แต่เป็นข้อปฏิบัติต่อส่วนรวมที่เป็นนามธรรม จะว่าไปแล้ว นี้เป็นหน้าที่สำคัญประการหนึ่งของชาวพุทธเลยทีเดียว พระพุทธองค์ถึงกับกำหนดหน้าที่ของชาวพุทธไว้ว่า นอกจากจะมีหน้าที่ต่อตนเอง คือศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ตลอดจนมีหน้าที่ต่อผู้อื่น ได้แก่การแนะนำผู้อื่นให้รู้ธรรมอย่างถูกต้องแล้ว ยังจะต้องมีหน้าที่ต่อธรรม คือสามารถรักษาธรรมหรือหลักการของพุทธศาสนาไว้ได้ หน้าที่ประการสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ต่อส่วนรวม เพราะเป็นประโยชน์ต่อหมู่ชนอย่างไม่เลือกหน้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต

สาเหตุที่ศีลธรรมหรือข้อพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมถูกมองข้ามหรือเข้าใจไม่ครบถ้วน นอกจากเป็นเพราะไปเน้นที่ศีลธรรมส่วนบุคคลมากเกินไปแล้ว ยังเป็นเพราะการตีความหลักธรรมที่คลาดเคลื่อน เช่น อุเบกขา มีความเข้าใจว่าหมายถึงการวางใจเป็นกลางเท่านั้น แต่ที่จริงอุเบกขามิได้หมายความแค่วางใจเป็นกลางเฉย ๆ หากแต่เป็นการวางใจเป็นกลางที่มีจุดหมายเพื่อไม่ให้มีการละเมิดธรรมหรือเสียหลักการ ทั้งนี้เพราะถ้าปราศจากอุเบกขาแล้ว ความเมตตากรุณาที่มีต่อตัวบุคคล อาจทำให้เลยเถิดจนเป็นผลเสียต่อธรรมได้ เช่น ช่วยเพื่อนโดยเอาเงินของส่วนรวมไปให้เขา พุทธศาสนาเน้นอุเบกขาในกรณีดังกล่าว เพื่อรักษาธรรมหรือหลักการของส่วนรวมเอาไว้ เป็นการป้องกันส่วนรวมมิให้เสียหาย เห็นได้ชัดว่าอุเบกขานั้นเป็นธรรมที่ช่วยให้บุคคลตระหนักถึงหน้าที่ที่มีต่อธรรมและหลักการของส่วนรวม มิใช่คำนึงแต่หน้าที่หรือคุณธรรมต่อตัวบุคคลเท่านั้น

การไม่สนใจทำหน้าที่ต่อส่วนรวมนี้เอง ที่ทำให้ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ว่าได้เฉยเมยหรือไม่นำพาต่อปัญหาบ้านเมือง มุ่งแต่รักษาศีล ๕ หรือสนใจแต่ทำทาน แต่ปล่อยให้บ้านเมืองเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น อาชญากรรม ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง รวมทั้งไม่อินังขังขอบต่อปัญหาที่คุกคามระบอบประชาธิปไตย จะพูดไปแล้วอย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลย แม้แต่ปัญหาที่เกิดกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เช่น เวลาที่พระธรรมวินัยถูกจ้วงจาบหรือบิดเบือน ชาวพุทธจำนวนมากก็นิ่งเฉย เห็นได้ชัดเมื่อเกิดกรณีธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่องบิดเบือนพระธรรมวินัย ไม่แต่คฤหัสถ์เท่านั้น กระทั่งพระกรรมฐานจำนวนไม่น้อยก็ไม่เอาธุระ กลับเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมไป

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ระบบศีลธรรมในพุทธศาสนาเท่าที่เป็นอยู่ไม่ค่อยเอื้อต่อประชาธิปไตย นั่นก็คือความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อหรือถึงกับมีอคติต่อหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ได้แก่ เสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ที่ผ่านมาชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นอันมากมีท่าทีปฏิเสธคำเหล่านี้ เพราะเห็นว่า เป็นคำที่ส่งเสริมกิเลสหรือการเอาตัวเองเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับคำว่าสิทธิ ที่ชาวพุทธมักมองว่าเป็นแนวคิดที่อิงอยู่กับการยึดถือประโยชน์ส่วนตน คิดแต่จะเรียกร้องสิ่งที่ตนพึงมีพึงได้จากผู้อื่น

เป็นความจริงที่ว่าเสรีภาพ อิสรภาพ เสมอภาค ตามนิยามในระบอบประชาธิปไตยมิได้มีอยู่ในระบบศีลธรรมของพุทธศาสนามาก่อน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขัดกัน หากมีการนิยามเสรีภาพและเสมอภาคในแง่ที่เปิดโอกาสให้มีการฝึกฝนพัฒนาตนและช่วยเหลือสังคมได้มากขึ้น เช่นเดียวกับอิสรภาพที่นิยามให้คลุมไปถึงมิติด้านจิตใจด้วย ในทำนองเดียวกันสิทธิก็มิได้หมายความถึงการเรียกร้องเอาเข้าตัวอย่างเดียว แต่รวมถึงการมีหน้าที่ที่จะต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งปกป้องสิทธิของผู้อื่นเวลาถูกล่วงละเมิดด้วย มองในแง่นี้สิทธิจึงเป็นแนวคิดที่แยกไม่ออกจากคุณธรรมหรือศีลธรรมของชาวพุทธ ต่างทำหน้าที่ประสานกัน กล่าวคือขณะที่ศีล ๕ หรือเมตตากรุณาเป็นข้อพึงปฏิบัติระหว่างบุคคลต่อบุคคล สิทธิก็เป็นข้อพึงปฏิบัติของบุคคลต่อสังคม

โลกุตตรธรรมกับประชาธิปไตย
มิติทางสังคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบศีลธรรมของพุทธศาสนา ที่ทำให้สำนึก และความรับผิดชอบตลอดจนสัมพันธภาพของผู้คนขยายออกไปสู่สังคม ไม่จำกัดอยู่แค่ครอบครัวหรือชุมชนเท่านั้น แต่มิติทางสังคมดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นลอย ๆ หากอิงอยู่กับความจริงของธรรมชาติที่เรียกว่าสัจธรรม

สัจธรรมในพุทธศาสนานั้นโดยเฉพาะในฝ่ายโลกุตตรธรรม ชี้ให้เราตระหนักว่าสัมพันธภาพของมนุษย์นั้นยังขยายกว้างออกไปยิ่งกว่านั้นอีก กล่าวคือไม่เพียงเชื่อมโยงกับผู้คนในสังคมเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงกับสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลด้วยซ้ำ หลักธรรมที่ว่านั้นก็คืออิทัปปัจจยตา นั่นคือความจริงที่ว่าไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยอิสระ หากเกิดขึ้นโดยมีสิ่งอื่นเป็นเหตุปัจจัย ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวถึงสหสัมพันธ์ของสรรพสิ่งได้อย่างงดงามว่า

“เมื่อคุณมองเก้าอี้ตัวนี้ คุณเห็นป่าไม้อันเป็นที่มาของไม้ที่ใช้ทำเก้าอี้ตัวนี้ไหม คุณเห็นดวงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องป่าไม้ และหมู่เมฆซึ่งโปรยฝนบำรุงเลี้ยงป่าไหม คุณเห็นคนตัดไม้และครอบครัวของเขาไหม และข้าวที่เลี้ยงชีวิตของพวกเขาล่ะ คุณเห็นทั้งหมดนี้ในเก้าอี้ตัวนี้ไหม เก้าอี้ประกอบด้วยสรรพสิ่งที่มิใช่เก้าอี้ คุณเห็นดวงอาทิตย์ในหัวใจของคุณไหม เห็นบรรยากาศในปอดของคุณไหม สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่ในสภาพที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และต่างเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน”

การที่เรายังเป็นเราอยู่ได้ ก็เพราะสรรพสิ่งในโลกเป็นปัจจัยให้เกิดมีขึ้น ไม่ใช่แค่พ่อแม่และชุมชน สังคมเท่านั้น แต่รวมถึงธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเราเพราะมีโลก ไม่มีโลกก็ไม่มีเรา การเห็นความจริงเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดเมตตากรุณาขึ้นในใจ มีความรักอย่างไม่มีประมาณต่อสรรพสิ่งในโลก เพราะเส้นแบ่งระหว่างฉันกับโลกไม่มีอีกต่อไป ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดปัญญาเห็นความจริงเรื่องอนัตตาว่าสรรพสิ่งนั้นไม่ มีตัวตนที่เที่ยงแท้ เป็นอิสระเอกเทศเลย จึงไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่าง

จึงเห็นได้ว่าอนัตตากับสหสัมพันธ์ตามหลักอิทัปปัจจยตานั้นเป็น ๒ ด้านของความจริงอย่างเดียวกัน ในด้านหนึ่ง ทุกอย่างไม่มีตัวตน แต่ในอีกด้านหนึ่งทุกอย่างต่างเชื่อมโยงสัมพันธ์กันหมด ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้รู้บางท่านบอกว่า เมื่อมองเข้ามาข้างใน ตัวฉันหามีไม่ แต่เมื่อมองออกไปฉันมีอยู่ในทุกสิ่ง

การที่พุทธศาสนาถูกลดทอนใน ๒ มิติ ทั้งด้านโลกุตตรธรรมและสังคม ทำให้ความจริงอันได้แก่ธรรมชาติส่วนลึกที่สุดและส่วนที่กว้างที่สุดของมนุษย์ถูกมองข้ามไป ผลก็คือ

๑) มนุษย์จึงกลายสภาพเป็นปัจเจกหรือบุคคลที่มีสังกัดคับแคบ จึงคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนหรือพวกพ้อง ไม่สามารถคิดไปไกลถึงประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์หรือเพื่อนร่วมโลกได้ การทำความดีจึงนอกจากมีขอบเขตแค่ทำความดีต่อคนใกล้ตัว หรือทำความดีในระดับบุคคลต่อบุคคล แต่ละเลยการทำความดีต่อสังคมหรือต่อโลก หรือหากจะทำดีต่อสังคมก็หวังประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ เช่น “หวังบุญ”

๒) มีชีวิตขึ้นลงไปตามโลกธรรมและตามอำนาจของกรรมดีกรรมชั่วเท่านั้น ไม่สามารถอยู่เหนือโลกธรรมหรือเป็นอิสระจากแรงกรรมทั้งดีและชั่วได้ แม้ทำดีก็ยังติดดีอยู่ เมื่อได้รับสุขก็ยังติดในสุขโดยมองไม่เห็นความไม่เที่ยงของมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

ทัศนะดังกล่าวไปได้ดีกับแนวคิดแบบโลกียวิสัย ( secularism) และแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “โลกนี้” และประโยชน์ที่จับต้องได้ แต่เมื่อต้องเผชิญกับแนวคิดแบบทุนนิยมและบริโภคนิยมก็มีปัญหา เพราะนอกจากไม่มีพลังที่จะต้านทานแนวคิดดังกล่าวได้ แถมยังถูกแนวคิดดังกล่าวครอบงำได้ง่าย พุทธศาสนาจึงกลายเป็นศาสนาที่เน้นประโยชน์ทางวัตถุ หรือตอบสนองความโลภ โดยไม่เพียงให้ความหวังหรือคำปลอบใจเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนให้ลดละความเพียร แต่หวังผลสำเร็จด้วยวิธีลัดหรือคอยโชคที่เกิดจาก “ผลบุญ”

อย่างไรก็ตามการฟื้นพลังให้แก่พุทธศาสนา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และมีความจำเป็น เพราะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตนานาชนิด ซึ่งแก้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง หรือวิธีคิด-โลกทัศน์แบบเดิม ๆ เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดรากเหง้าของวิกฤตทั้งหลายก็คือวิกฤตทางด้านจิตวิญญาณ (นอกจากเทคโนโลยี ความมั่งคั่ง และโลกทัศน์เดิมจะแก้วิกฤตดังกล่าวไม่ได้แล้ว มันยังซ้ำเติมหรือมีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตดังกล่าวด้วย)

วิกฤตด้านจิตวิญญาณนั้นสะท้อนให้เห็นจากวัฒนธรรม ๒ กระแสใหญ่ซึ่งก่อปัญหาไปทั่วโลกได้แก่
๑)วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
๒)วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง

วัฒนธรรมแห่งความละโมบ
คือวัฒนธรรมที่กระตุ้นความละโมบของผู้คนทำให้เกิดความต้องการอย่างไม่มีขีดจำกัด ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ พื้นฐานของวัฒนธรรมนี้คือแนวคิดว่า greed is good ในด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ การคอรัปชั่น การตักตวงประโยชน์จากทรัพยากรอย่างไม่บันยะบันยังจนถึงจุดวิกฤต ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแปรให้เป็นสินค้า ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เด็ก ประเพณี สัญลักษณ์ทางศาสนา สิ่งที่ตามมาคือการทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ทำให้ความยากจนแพร่กระจาย ควบคู่กับการกระจุกตัวของทรัพย์สินในคนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันครอบครัวก็ร้าวฉาน ชุมชนแตกแยก เงินกลายเป็นตัวกลางความสัมพันธ์แทนที่ความรักความเอื้ออาทร ต่างเห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อที่จะเอาประโยชน์ หรือเป็นศัตรูที่จะมาแย่งผลประโยชน์ ใช่แต่เท่านั้นลึก ๆ ในจิตใจผู้คนก็แปลกแยกกับตัวเอง มีความเครียดและความกลัดกลุ้ม ถึงกับทำสิ่งที่เป็นโทษต่อตัวเอง เช่น ขายตัวเพื่อแลกกับโทรศัพท์มือถือ หรือฆ่าตัวตายเมื่อไม่ได้วัตถุที่ต้องการ

วัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง
ทุกวันนี้ความเกลียดชังได้แพร่สะพัดจนกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คน ปรากฏอยู่ในสื่อและการแสดงออกของผู้คนอย่างกว้างขวาง มีการปลุกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อคนที่แตกต่างจากตนไม่ว่าในทางชาติพันธุ์ ผิวสี ภาษา ศาสนา รวมไปถึงเศรษฐฐานะ ความเชื่อ และ สถาบันที่สังกัด ควบคู่กันกันสำนึกดังกล่าว ก็คือการเหยียดคนที่มีอัตลักษณ์ต่างจากตนว่าเป็นผู้ที่ด้อยกว่า ความรังเกียจเดียดฉันท์ดังกล่าวนำไปสู่ความรุนแรงในทุกระดับ สงครามและความรุนแรงจึงเกิดขึ้นไปทั่ว

ในเมืองไทยการตั้งคำถามกับคนที่คิดต่างจากตนว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า” สะท้อนถึงความคับแคบทางความคิด และนำไปสู่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ยิ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในปัจจุบัน ก็ยิ่งเห็นอำนาจของความเกลียดชังที่แพร่ระบาดไปทั่ว

ประชาธิปไตยถูกบั่นทอน
ทั้งวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ได้แพร่หลายไปทั่วทั้งโลกได้ก็เพราะอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ในด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจก็ทำให้ทุนนิยมและบริโภคนิยไหลบ่าไปทั่ว ทุกหัวระแหงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กระตุ้นให้ผู้คนเกิดความโลภและแข่งขันกันตักตวงเงินทองและทรัพยากร ในอีกด้านหนึ่งโลกาภิวัตน์ทางโทรคมนาคมก็ทำให้การสร้างความอคติและเกลียดชัง ต่อกันแพร่หลายไปรวดเร็วขึ้น ไม่เคยมียุคใดที่ความเท็จหรือความจริงครึ่งเดียวจะกระจายได้รวดเร็วเท่ายุค นี้ ขณะเดียวกันการรุกรานของอำนาจทุนที่ตักตวงประโยชน์จากชุมชนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความยากจน จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากชุมชนท้องถิ่น จนเกิดเป็นความรุนแรง เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อพลังภายนอก และเกิดความแตกแยกในชุมชนเดียวกัน

วัฒนธรรมทั้ง ๒ กระแสได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง กล่าวคืออำนาจทุนเข้ามามีอิทธิพลในทางการเมือง เช่น ติดสินบน ซื้อเสียง ซื้อนักการเมือง การสร้างแรงกดดันผ่านสื่อและกลุ่มลอบบี้ยิสต์ รวมทั้งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อทำธุรกิจการเมือง นอกจากนั้นยังทำให้ผู้คนหลงใหลกับบริโภคนิยม หมกมุ่นแต่ตัวเองจนไม่สนใจมีส่วนร่วมทางการเมือง ขณะเดียวกันความเกลียดชังด้วยเหตุผลทางด้านอุดมการณ์ ยังทำให้การแตกแยกของคนในชาติ จนนำไปสู่การใช้เสียงส่วนมากเพื่อปิดปาก/เบียดบังคนส่วนน้อย พร้อมกันนั้นการไม่ยอมรับความเห็นของกันและกันได้นำไปสู่การใช้ความรุนแรง เพื่อแก้ไขความขัดแย้ง แทนที่จะใช้สันติวิธี

ทั้งหมดนี้ได้ซ้ำเติมประชาธิปไตยไทยซึ่งมีปัญหาต่าง ๆ รุมเร้ามากมาก อยู่แล้วมากมาย ทั้งปัญหาในเชิงหลักการและในเชิงกระบวนการ กล่าวคือ ในแง่หลักการ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามหลักการพื้นฐานอันได้แก่ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มีการคุกคามเบียดบังสิทธิเสรีภาพมากขึ้น โดยเฉพาะรัฐบาลที่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวางผ่านนโยบาย ประชานิยม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงขยายตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจากนั้นยังเกิดการแบ่งแยกเป็นขั้ว ๆ แตกเป็นกลุ่ม ๆ ตามเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อุดมการณ์

ปัญหาในเชิงกระบวนการ ได้แก่ การตัดสินใจแบบอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย คือเอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หาไม่ก็ตัดสินตามกระแสนิยม ขณะเดียวกันการรับรู้ข้อมูลก็เป็นไปอย่างไม่รอบด้าน คำนึงประโยชน์ระยะสั้น ถูกใจมากกว่าถูกต้อง ผู้คนไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลที่แตกต่าง ความคิดคับแคบ ถือพวกถือเหล่า ยังไม่นับปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง

ผลก็คือประชาธิปไตยไทยเกิดภาวะวิกฤต อันได้แก่ วิกฤตความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ เนื่องจากผู้ปกครองใช้อำนาจเกินขอบเขต ผูกขาดการใช้อำนาจ ไม่เปิดพื้นที่ให้แก่คนที่เห็นต่าง เป็นรัฐบาลของคนบางกลุ่ม อีกทั้งยังทุจริต มุ่งประโยชน์ส่วนตน

สิ่งที่ตามมาคือ ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจของผู้ปกครอง เกิดความแตกแยกทางการเมือง ในทุกระดับ และในหลายภาคส่วน (เช่นระหว่าง ชนชั้นนำ กับ ชนชั้นนำ คนชั้นกลาง กับ คนชั้นล่าง คนเมือง กับ คนชนบท รวมทั้งระหว่างรัฐกับสังคม) คนส่วนน้อยไม่ยอมรับเสียงข้างมาก ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ไม่ฟังเสียงคนกลุ่มน้อย เกิดช่องว่างทางสังคมเศรษฐกิจ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น (เกิดปรากฏการณ์หนึ่งรัฐ สองสังคม) มีการเอาเปรียบคนส่วนน้อย โดยรัฐไม่สามารถและไม่สนใจแก้ปัญหาของคนเล็กคนน้อย กลายเป็นว่ายิ่งรัฐมีอำนาจครอบงำมากเท่าไร สังคมยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น นอกจากนั้นยังเกิดภาวะยอกแย้ง กล่าวคือขณะที่มีการเชื่อมโยงบูรณาการระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับมีการแตกสลายภายในชาติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งหมดนี้ทำให้มีการตั้งคำถามกับระบบการเลือกตั้ง จนไม่สามารถจะใช้การเลือกตั้งเป็นทางแก้ปัญหาความขัดแย้งได้

วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้
ประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้ด้วยดี นอกจากจะต้องมีการปฏิรูปทางการเมือง การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการปฏิรูปสังคมแล้ว ยังต้องอาศัย “วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้” เพื่อมาทัดทานถ่วงดุลกับวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ด้วย

วัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ กล่าวคือเป็นไปเพื่อการตื่นจากความหลงในวัตถุนิยม และจากความยึดติดถือมั่นในเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา สีผิว และอุดมการณ์ อันนำไปสู่การเบียดเบียนทำร้ายกัน

พุทธศาสนาสามารถช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความตื่นรู้ได้ เพราะมุ่งที่การลดทอนตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งวัตถุนิยมและความเกลียดชังกัน พุทธศาสนาเน้นว่าความสุขนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับวัตถุเสมอไป นอกจากความสุขทางกายแล้ว เรายังต้องการความสุขทางจิตใจ และความสุขทางใจนี้เองที่เป็นความสุขที่ลึกซึ้งที่สุดที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึงให้ได้ จุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์จึงมิได้อยู่ที่การครอบครองวัตถุให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การเข้าถึงความสุขทางจิตใจด้วยตนเอง และเอื้อให้ผู้อื่นเข้าถึงด้วยเช่นกัน

นอกจากโลกทัศน์ที่เห็นมนุษย์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งแล้ว พุทธศาสนายังเอื้อให้เกิดโลกทัศน์ที่มองเห็นมนุษย์อย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชีวิต สังคม และธรรมชาติไม่อาจแยกจากกันได้ ความผาสุกของเราแต่ละคนผูกติดอยู่กับความผาสุกของผู้คนรอบข้าง สังคมรอบตัว และธรรมชาติแวดล้อม สำนึกดังกล่าวจะช่วยให้เราอ่อนโยนต่อธรรมชาติและรู้สึกถึงบุญคุณของสรรพ ชีวิตและทุกผู้คนในสังคมมากขึ้น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง ไม่มองตนเองในกรอบแคบ ๆ โดยมองคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาเป็นคนอื่น หากมองเห็นมนุษย์ทุกคนและทุกชีวิตว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกที่อยู่ภายใต้สาย สัมพันธ์เดียวกัน มีความรักและความเห็นอกเห็นใจกันนมากขึ้น

พุทธศาสนายังช่วยให้เห็นถึงข้อจำกัดของทวินิยม และหันมามองโลกแบบอทวินิยมมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมองโลกแบบทวินิยมนำไปสู่การเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน รวมทั้งก่อความรุนแรงต่อกัน ในด้านหนึ่งการแยกฉันกับโลกและผู้อื่นออกจากกัน ก็ทำให้ตกเป็นเหยื่อของความโลภ คือพยายามตักตวงให้ตัวเองให้มากที่สุดโดยไม่สนใจคนอื่นหรือผลกระทบกับโลก

ในอีกด้านหนึ่งวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชังตั้งอยู่บนความคิดแบบทวินิยม แบ่งเราแบ่งเขา เห็นคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตนเป็นศัตรู และมองโลกแบบเป็นขาว-ดำชัดเจน โดยเฉพาะคนที่เคร่งศาสนาหรือติดยึดกับอุดมการณ์ มักจะตกอยู่ในกับดักแห่งความคิดดังกล่าว คือขีดเส้นความดี-ความชั่วชัดเจน ใครที่ไม่ดีเหมือนตัวหรือคิดเหมือนตัว ก็ประณามว่าเป็นคนชั่ว และเมื่อเป็นคนชั่วเสียแล้ว ย่อมเป็นการชอบธรรมที่จะกำจัดเขาด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้

ประธานาธิบดีบุชเคยประกาศว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา ก็อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ในเมืองไทย ก็มีคนพูดว่า “ใครไม่อยู่ฝ่ายพันธมิตร ก็เป็นพวกทักษิณ” หรือ “ใครไม่สนับสนุนทักษิณ/พลังประชาชน ก็เป็นพวกพันธมิตร”

พุทธศาสนานั้นมองโลกอย่างเป็นอทวิภาวะตามหลักอิทัปปัจจยตา โดยเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันเป็นสหสัมพันธ์ ไม่มีอะไรแยกขาดจากกันเป็นขั้วหรือเป็นคู่ ๆ ได้ ดังมีพุทธพจน์ว่า “แสงสว่างต้องอาศัยความมืดจึงปรากฏ ความงามต้องอาศัยความไม่งามจึงปรากฏ” นอกจากจะอิงอาศัยกันแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนตรงข้ามกันยังปรากฏอยู่ด้วยกัน พุทธพจน์ตอนหนึ่งมีความว่า “ความแก่มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาว ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค ความตายก็มีอยู่ในชีวิต”

มองในแง่นี้ อทวินิยมทำให้เราตระหนักว่าโลกและชีวิตไม่ได้ขีดเส้นความดีความชั่วได้ง่ายอย่างนั้น ความดีกับความชั่วไม่ได้แยกจากกันเด็ดขาด คนเรามีทั้งดีและชั่วอยู่ด้วยกัน โซลเชนิตซิน นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย ซึ่งเคยถูกจองจำในค่ายกักกันของสตาลิน พูดไว้อย่างน่าฟังว่า

“ มันจะง่ายดายสักเพียงใด ถ้าเพียงแต่ว่าคนชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่งและคอยทำแต่สิ่งชั่วร้าย เราก็แค่แยกคนพวกนั้นออกจากพวกเราแล้วก็ทำลายเขาเสีย เท่านั้นก็จบกัน แต่เส้นแบ่งความดีและความชั่วนั้นผ่าลงไปในใจของมนุษย์ทุกคน ใครเล่าที่อยากจะทำลายส่วนเสี้ยวในใจของตน?”

ความตระหนักว่าในจิตใจของเรานั้นก็มีความชั่วร้ายแฝงฝังอยู่ ก็ทำให้เราต้องระมัดระวังที่จะใช้ความรุนแรงกระทำกับผู้อื่น เพราะความรุนแรงนั้นเองจะหล่อเลี้ยงบ่มเพาะความชั่วร้ายในใจเราให้เติบใหญ่ ขึ้น จนแสดงตัวออกมาเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้าย หรือแปรเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายในที่สุด ตำรวจที่ใช้วิธีการอันเลวร้ายกับโจร ในที่สุดกลับมีพฤติกรรมไม่ต่างจากโจร พูดอย่างอทวิภาวะก็คือ ในตำรวจนั้นมีความเป็นโจรที่รอการฟูมฟักแฝงอยู่ด้วย ในเรื่องนี้ ติช นัท ฮันห์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า

“ฉันคือเด็กในอูกันดา มีแต่หนังหุ้มกระดูก
ขาฉันเล็กบางราวลำไผ่
และฉันคือพ่อค้าอาวุธ
ขายเครื่องประหัตประหารแก่อูกันดา

ฉันคือเด็กหญิงสิบสองขวบ
ลี้ภัยในเรือน้อย
โถมร่างลงกลางสมุทร
หลังถูกโจรสลัดข่มขืน
และฉันคือโจรสลัด
หัวใจฉันยังขาดความสามารถ
ในการเห็นและรัก

ฉันคือสมาชิกกรมการเมือง
ผู้กุมอำนาจล้นฟ้า
และฉันคีอชายผู้ต้องจ่าย
“หนี้เลือด”แก่ประชาชน
ผู้ค่อย ๆ ตายไปในค่ายแรงงาน”

ทัศนะการมองแบบอทวินิยมดังกล่าวเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญมาก เพราะช่วยให้บุคคลหลุดพ้นจากความติดยึดในสมมติบัญญัติ ซึ่งพัวพันกับการมองโลกเป็นคู่ ๆ สามารถอยู่เหนือดีและชั่ว สุขและทุกข์ ตลอดจนโลกธรรมทั้งปวง ช่วยให้ถอนจากความสำคัญมั่นหมายในตัวตน(ว่ามีอยู่อย่างเป็นอิสระเอกเทศและ ยั่งยืนถาวร) ดังนั้นจึงนำไปสู่อิสรภาพทางจิตใจอย่างสิ้นเชิง แต่อทวินิยมจะมีความสำคัญแต่เฉพาะการพัฒนาในทางจิตวิญญาณอย่างเดียวก็หาไม่ หากยังมีคุณค่าต่อการดำเนินชีวิตและกิจกรรมในทางโลกอีกด้วย

พุทธศาสนายังช่วยให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการตื่นรู้ได้ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาจิต เช่น สติ สมาธิ เมตตา กรุณา รวมทั้งปัญญา คุณภาพจิตดังกล่าวเป็นภูมิต้านทานวัฒนธรรมแห่งความละโมบและวัฒนธรรมแห่งความ เกลียดชังได้ กล่าวคือ มีความสุขกับชีวิตที่เรียบง่าย เพราะเข้าถึงความสุขภายในอันประณีต ไม่หลงเป็นทาสวัตถุหรือมัวเมาในบริโภคนิยม

ปัญญายังช่วยรักษาใจไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง เพราะทำให้แลเห็นความจริงอย่างรอบด้านโดยปราศจากอคติ นอกจากนั้นเมตตากรุณาก็สำคัญมาก ไม่ใช่เมตตากับคนใกล้ตัวเท่านั้น หากรวมไปถึงคนที่อยู่ไกลออกไป ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เป็น “ศัตรู” หรือคนชั่วร้าย ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ เมตตากรุณาเช่นนี้แหละที่จะทำให้เรามั่นคงในความเป็นมนุษย์ ไม่เห็นคนเป็นผักปลา แม้เขาจะเป็นคนชั่วร้ายก็ตาม

พุทธศาสนากับประชาธิปไตยต้องเกื้อกูลกัน
ประชาธิปไตยมุ่งให้เกิด เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หลักการทั้งสามประการจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยคุณภาพจิตเป็นตัวรองรับ กล่าวคือ เสรีภาพภายนอกต้องอิงเสรีภาพภายใน โดยมีปัญญาเป็นตัวเชื่อม

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

Bad habits can age you by 12 years, study suggests

By LINDSEY TANNER, AP Medical Writer - Mon Apr 26, 6:26 PM PDT

CHICAGO - Four common bad habits combined — smoking, drinking too much, inactivity and poor diet — can age you by 12 years, sobering new research suggests.

The findings are from a study that tracked nearly 5,000 British adults for 20 years, and they highlight yet another reason to adopt a healthier lifestyle.

Overall, 314 people studied had all four unhealthy behaviors. Among them, 91 died during the study, or 29 percent. Among the 387 healthiest people with none of the four habits, only 32 died, or about 8 percent.

The risky behaviors were: smoking tobacco; downing more than three alcoholic drinks per day for men and more than two daily for women; getting less than two hours of physical activity per week; and eating fruits and vegetables fewer than three times daily.

These habits combined substantially increased the risk of death and made people who engaged in them seem 12 years older than people in the healthiest group, said lead researcher Elisabeth Kvaavik of the University of Oslo.

The study appears in Monday's Archives of Internal Medicine.

The healthiest group included never-smokers and those who had quit; teetotalers, women who had fewer than two drinks daily and men who had fewer than three; those who got at least two hours of physical activity weekly; and those who ate fruits and vegetables at least three times daily.

"You don't need to be extreme" to be in the healthy category, Kvaavik said. "These behaviors add up, so together it's quite good. It should be possible for most people to manage to do it."

For example, one carrot, one apple and a glass of orange juice would suffice for the fruit and vegetable cutoffs in the study, Kvaavik said, noting that the amounts are pretty modest and less strict than many guidelines.

The U.S. government generally recommends at least 4 cups of fruits or vegetables daily for adults, depending on age and activity level; and about 2 1/2 hours of exercise weekly.

Study participants were 4,886 British adults aged 18 and older, or 44 years old on average. They were randomly selected from participants in a separate nationwide British health survey. Study subjects were asked about various lifestyle habits only once, a potential limitation, but Kvaavik said those habits tend to be fairly stable in adulthood.

Death certificates were checked for the next 20 years. The most common causes of death included heart disease and cancer, both related to unhealthy lifestyles.

Kvaavik said her results are applicable to other westernized nations including the United States.

June Stevens, a University of North Carolina public health researcher, said the results are in line with previous studies that examined the combined effects of health-related habits on longevity.

The findings don't mean that everyone who maintains a healthy lifestyle will live longer than those who don't, but it will increase the odds, Stevens said.

Source:http://health.yahoo.com/news/ap/us_med_bad_habits_survival.html

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

China Earthquake Raises Questions, Concerns


by Mike Krumboltz

Tuesday's massive earthquake in western China has left hundreds dead and thousands more injured. Both of those numbers are expected to rise in the coming days, as many victims are still trapped under collapsed buildings and rubble. Below, some of the most frequently asked questions surrounding the devastating earthquake.

Where in China was it?
The earthquake was centered near the Qinghai Province in western China. That is located right next to Tibet, the mountainous homeland of the Dalai Llama. While many people who live outside of China are aware of the country's major cities on its east coast, far fewer have any understanding of the land's geography out west. That explains the explosive searches on "china map" and "where is qinghai province."

Are we having more earthquakes?
It sure seems like it. Since the beginning of 2010, there have been four major earthquakes around the world.

1. 7.0 in Haiti on January 12, 2010.
2. 8.8 in Chile on February 27, 2010.
3. 7.2 in Mexico on April 4, 2010.
4. 6.9 in China on April 13, 2010.

All of this seismic activity has left some wondering if earthquakes are increasing in frequency, or if it just seems like they are. According to an expert from the United States Geological Survey, the recent activity is not unusual.

Geophysicist Dale Grant spoke with CNN and remarked that while it may seem like quakes are getting more frequent, the numbers are about average, historically speaking. What has changed? The quakes are striking more populated areas, which has led to more damage, more deaths, and, as a consequence, far more news coverage. It might seem like we're getting a lot more earthquakes, but they're actually just causing more damage due to where they are striking.

How does the China earthquake compare to other recent disasters?
The Haiti earthquake measured 7.0, and claimed the lives of over 220,000 people. Why the high death toll? The quake struck near the nation's densely-populated capital, Port Au Prince. Also, Haiti is a very poor country, with few seismically-safe buildings. With so many people living so close together in buildings that were not built to withstand intense shaking, an earthquake can exact a heavy toll.

The recent Mexico earthquake, which struck not far from the United States border, was even more powerful, measuring 7.2. Due in large to the quake being centered in a relatively desolate place, only several people were killed.

The Chile earthquake, which struck on February 27, had a magnitude of 8.8. That is almost 100 times stronger than the recent 6.9 China quake (each full point represents a tenfold increase in power). Still, for such a massive quake, a comparatively small number of people were killed. That's thanks to Chile's strict building codes and the fact that the quake struck off the country's coast. A tsunami did result, which was responsible for nearly half of the deaths associated with the quake.

Which countries have the most earthquakes?
Difficult to say. According to the USGS, Indonesia has the most earthquakes overall, but China and Iran tend to suffer the most catastrophic earthquakes.

How can you prepare for an earthquake?
It's impossible to predict when an earthquake will strike. But experts say that anyone living in a dangerous area should be prepared. For people in the United States, disaster experts recommend they be prepared to spend 72 hours on their own in the event of an earthquake, tornado, hurricane, flood, etc. You can read more at 72hours.org, a site put together by the city of San Francisco.

How can you help?
The relief effort is just beginning. Due to the isolated location of the Qinghai Province, it will be difficult to get assistance to the victims. You can help the relief effort via the Red Cross.

Source: http://buzz.yahoo.com/buzzlog/93573?fp=1

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

ไขมันพอกตับ


พญ.วิภากร ชูแสง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารและตับ กล่าวกับ Better Health ว่า “ภาวะไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือ NAFLD เป็นชื่อเรียกรวมของความผิดปกติที่เกิดกับตับซึ่งเริ่มจากไขมันพอกตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับวายและมะเร็งตับ

จะเห็นได้ว่าความผิดปกติและพัฒนาการของ โรคเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคตับกลุ่มที่ดื่มสุราเป็นประจำ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับภาวะไขมันพอกตับในผู้ไม่ดื่มสุราก็คือผู้ป่วยมักจะไม่ ทราบมาก่อนว่าเกิดความผิดปกติกับตับของตนเข้าแล้ว เลยไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจจะรักษาจนกระทั่งตรวจพบโดยบังเอิญ”

ปัจจุบัน ประเทศไทย พบภาวะไขมันพอกตับได้มากขึ้นตามแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของเมตาโบลิกซินโดรม ซึ่งได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในโลหิตสูงซึ่งมักจะเกิดขึ้นในวัยกลางคนอายุประมาณ 45 ถึง 50 ปีขึ้นไป ที่อัตราการเผาผลาญอาหารเริ่มลดลง

ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งระยะการดำเนินโรคได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่

* ระยะแรก เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลใด ๆ กล่าวคือ ไม่มีการอักเสบ หรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
* ระยะที่สอง เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อย ๆ เกินกว่า 6 เดือนกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
* ระยะที่สาม การอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อย ๆ ถูกทำลายลง
* ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่อาจทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ

พญ.วิภากรอธิบายเพิ่มว่า “เนื่องจากโรคตับนั้นเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคค่อนข้างช้า กล่าวคือ เมื่อเกิดภาวะไขมันพอกตับแล้ว ไม่ใช่ว่าใช้เวลาแค่ 1 หรือ 2 ปีจะเกิดปัญหา ต้องใช้เวลานานกว่าโรคจะดำเนินไปอีกขั้น เช่น หากมีปัญหาตับอักเสบติดต่อกันนานเกินกว่า 6 เดือน จัดว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง และกว่าที่จะพัฒนาต่อไปเป็นโรคตับแข็งขั้นที่ 1 ก็อาจใช้เวลาเป็น 10 ปี แล้วจึงค่อยพัฒนาต่อไปเป็นขั้นที่ 2 และ 3 ซึ่งก็จะมีอาการบ่งชี้เพิ่มเติม คือ อาการตัวเหลือง ตาเหลือง มีน้ำในท้องมากขึ้น จนถึงระยะสุดท้ายคือความรู้สึกตัวลดลง อันนี้แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของตับแย่ลง”

สำหรับสาเหตุอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเมตาโบลิกซินโดรม ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ได้แก่ การรับประทานยาบางชนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีไขมันมาพอกตับมากขึ้น อาทิ ยากลุ่มเสตียรอยด์ ยากลุ่มที่เป็นฮอร์โมนทดแทน เป็นต้น

การวินิจฉัย

โดยทั่วไปเมื่อเกิดภาวะไขมันพอกตับขึ้นมา ส่วนมากแล้วจะไม่มีอาการทางร่างกายแต่อย่างใด หรืออาจมีอาการแต่เป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกโรคได้ “ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยทุกรายจะมีอาการ บางรายมีอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ แทบไม่เป็นที่สังเกต เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ เล็กน้อย ตึง ๆ บริเวณใต้ชายโครงขวา ตอนนี้ถ้าตรวจเลือดดูจะพบว่าเอนไซม์ตับผิดปกติ ซึ่งแสดงถึงภาวะตับอักเสบ และเนื่องจากภาวะไขมันพอกตับนี้แทบจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยส่วนมากมักจะพบความผิดปกติเมื่อมารับการตรวจสุขภาพประจำปี” พญ.วิภากร กล่าว

นอกจากการตรวจเลือดซึ่งจะทำให้แพทย์ทราบถึงระดับ น้ำตาล ไขมัน และค่าเอนไซม์ของตับแล้ว การวินิจฉัยภาวะไขมันพอกตับยังสามารถทำได้โดยการตรวจอัลตร้าซาวด์ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งการเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจ ซึ่งจะช่วยประเมินความรุนแรงของโรคได้

การรักษา

แม้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตับจะมีการ ดำเนินโรคค่อนข้างช้า แต่การตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกเริ่มก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการให้การรักษาที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วย เป้าหมายของการรักษาอยู่ที่การลดไขมันสะสมและลดการอักเสบของตับในรายที่มี การอักเสบร่วมด้วย เพื่อหยุดยั้งการดำเนินโรคต่อไป

“แม้ว่าแพทย์จะพบการอักเสบของตับจากการ ตรวจเลือด และพบภาวะไขมันพอกตับจากการทำอัลตร้าซาวด์ แพทย์จะยังไม่สรุปว่าการอักเสบของตับเป็นผลโดยตรงจากภาวะไขมันพอกตับจนกว่า จะตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้อีก อาทิ ไวรัสตับอักเสบ โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง หรือโรคที่มีเหล็กและทองแดงสะสมในร่างกายมากเกินไป หรือการที่ผู้ป่วยรับประทานยาที่มีผลต่อตับ เช่น พวกอาหารเสริม ยาสมุนไพรบางชนิด ซึ่งเมื่อหยุดยาเหล่านี้แล้วการอักเสบของตับอาจหายไปเองก็เป็นได้ แม้ผู้ป่วยจะยังมีไขมันพอกตับอยู่” พญ.วิภากร กล่าว

“ผู้ป่วยที่มีไขมันในตับแต่ไม่ได้มีตับ อักเสบก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยา เพียงลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย ลดอาหารหวาน อาหารมัน อย่ารับประทานแป้งมาก ไขมันในตับก็จะลดลงไปได้” พญ.วิภากร อธิบาย “ส่วนมากผู้ป่วยที่มาพบหมอ และได้รับคำแนะนำให้กลับไปลดน้ำหนักนั้นจะทำไม่ค่อยได้

หมอจึงต้องให้ยาช่วยซึ่งมีอยู่ หลายกลุ่ม เช่น ยากลุ่มที่ช่วยเรื่องเบาหวานและลดไขมันในตับร่วมกันซึ่งไม่เหมือนกับยาเบา หวานทั่วไป หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงก็ต้องได้รับยาที่ช่วยเรื่อง ความดันโลหิตสูงที่ช่วยลดไขมันในตับด้วย เช่นเดียวกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือด แต่จะให้ดีที่สุดก็คือ ลดอาหารหวาน ลดอาหารมัน และออกกำลังกายค่ะ”

ลด ความเสี่ยง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

เนื่องจากสาเหตุหนึ่งของภาวะไขมันพอกตับ เกี่ยวข้องกับเมตาโบลิกซินโดรม อาทิ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นความผิดปกติที่สามารถ ควบคุมให้ดีขึ้นได้ ส่งผลให้ภาวะไขมันพอกตับดีขึ้นตามมา

พญ.วิภากรแนะนำแนวทางการป้องกันตัวเอง และลดความเสี่ยงไว้ ดังนี้

* พยายามลดลดน้ำหนักให้ได้ แต่ต้องอยู่ในระดับปลอดภัย เช่น สัปดาห์ละไม่เกิน 0.5 กิโลกรัม
* ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ
* ผู้ป่วยเบาหวาน และไขมันในเลือดสูงต้องควบคุมโรคให้ดี ทั้งนี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของยา การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย
* ลด และเลิกการดื่มสุรา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้ตับมากยิ่งขึ้น
* หลีกเลี่ยงการรับประทานยา หรืออาหารเสริมที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะอาหารเสริมประเภทน้ำมันต่าง ๆ เช่น น้ำมันปลา น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส และสมุนไพรต่าง ๆ
* ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ เช่น ตรวจดูว่าตนมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบหรือไม่ หากไม่มีควรฉีดวัคซีน มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องทำฟันและทำเล็บ
* อย่าละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี ผู้ป่วยไขมันพอกตับส่วนมากจะทราบเมื่อมารับการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งผลการตรวจแสดงค่าเอนไซม์ของตับ (AST และ ALT) ผิดปกติ (มากกว่า 40)

การดูแลสุขภาพตับ ไม่ได้ต้องการมากไปกว่าการดูแลสุขภาพร่างกายตามปกติดังที่กล่าวข้างต้น มาถึงตรงนี้ไม่ใช่แค่ผู้ดื่มสุราและผู้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเท่านั้นที่ต้อง ระวังเรื่องภาวะไขมันพอกตับ แม้ผู้ที่มีน้ำหนักปกติแต่มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง หรือผู้ที่รับประทานยาและอาหารเสริมอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็อยู่ในกลุ่มที่ต้องระวังให้มากไม่แพ้กัน

สัญญาณ ต่อไปนี้ อาจบ่งชี้ว่าตับของคุณเริ่มมีปัญหา

* คุณมีน้ำหนักมาก และมีไขมันสะสมที่หน้าท้อง
* คุณลดน้ำหนักอย่างไรก็ไม่ลง
* คุณมีระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
* คุณเป็นเบาหวาน
* คุณรู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลีย
* คุณรู้สึกเจ็บตึง ๆ ที่ชายโครงขวา
* คุณมีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารไม่ลงและคลื่นไส้เป็นบางครั้ง

คุณทราบหรือไม่

* ภาวะไขมันพอกตับพบได้บ่อย โดยในสหรัฐอเมริกาพบประมาณร้อยละ 15 ถึง 20 ของจำนวนประชากร (U.S. Liver Foundation)
* ในประเทศไทย อัตราของจำนวนผู้ป่วยเบาหวานซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สำคัญประการหนึ่งของภาวะ ไขมันพอกตับที่พบในประชากรที่มีอายุตั้งเเต่ 35 ปีขึ้นไปทั้งเก่าเเละใหม่ อยู่ที่ร้อยละ 9.6 (2547: สถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน)
* ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่าร้อยละ 50 ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)
* ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาทิ คนอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้มีไขมันในเลือดสูง มีภาวะไขมันพอกตับถึงร้อยละ 90 ในจำนวนนี้ร้อยละ 20 มีอาการตับอักเสบร่วมด้วย และร้อยละ 10 กลายเป็นโรคตับแข็ง (MedicineNet)
* ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันพอกตับสามารถฟื้นฟูสภาพตับให้กลับมาดีขึ้นได้ ด้วยการลดน้ำหนักลงอย่างน้อยร้อยละ 9 (American Gastroenterological Association)

Source: http://www.bumrungrad.com/BetterHealth/DigestiveHealth/FattyLiver/FattyLiver1t.asp?utm_source=newsletter-3-2010&utm_medium=newsletter&utm_campaign=Bumrungrad-thai

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความโกรธเป็นศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์

ประจำวันที่ : 21 ก.พ. 53

ความโกรธ มาจากรากศัพท์ว่า โกธะ แปลว่า ความขุ่นเคือง มันจะเริ่มต้นมาจากอรติ – ความไม่พอใจ ถ้าระงับไว้ได้ก็จบแค่นั้น ถ้าระงับไม่ได้ก็จะไปถึงปฏิฆะ – ความหงุดหงิดรำคาญ ถ้าระงับไว้ได้แค่ปฏิฆะก็หายไป ถ้าระงับไม่ได้ก็จะกลายเป็นโกรธะ – ความขุ่น เหมือนน้ำที่เราต้มบนเตาไฟ ก็เริ่มขุ่น เริ่มหมุนเริ่มจะร้อน ถ้าระงับไว้ได้ก็ดีไป ระงับไม่ได้จะตามมาเป็นโทสะ – ความพลุ่งพล่าน ระงับไม่อยู่ก็พลุ่งพล่านออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ร้อนใจ ร้อนรน ถูกเผาให้ร้อนด้วยโทสะ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในอาทิตตปริยายสูตร ทีว่าร้อนอยู่ด้วยไฟคือราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในที่นี่ก็ร้อนอยู่ด้วยโทสะ แล้วพลุ่งพล่านออกมา ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง

โทสะ ตามตัวบางทีแปลว่า คิดประทุษร้าย ถ้าประทุษร้ายได้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป

นี่พูดถึง ความหมายของเรื่องโกธะ สายของโกธะ หรือที่เราแปลว่าความโกรธ มันมาอย่างนี้ก็จะประทุษร้ายด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าประทุษร้ายไม่ได้ในเวลานั้นและระงับมันไว้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าปราบมันไม่ได้ ก็จะกลายเป็นพยาบาท ก็จะเป็นการเบียดเบียนกันให้เดือดร้อนต่อไป

ความโกรธเป็น ศัตรูร้ายตัวหนึ่งของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งมวลน้อยคนนักที่จะเอาชนะมันได้ โดยเด็ดขาด ส่วนมากพ่ายแพ้ต่อมัน มันเป็นผู้ชนะที่ไม่ปรานีต่อผู้แพ้ เพราะทำผู้แพ้ให้ประสบภัยพิบัติต่างๆเหลือที่จะกล่าว แต่ถ้าใครชนะมันได้ มันก็จะให้รางวัลที่ประเสริฐสุดต่อบุคคลผู้นั้น คือความสงบสุขของดวงจิตซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของมนุษย์

ขอให้เรามาเป็นนักศึกษาเพื่อเข้าใจความโกรธ เข้าใจถึงโทษและทางออก ขอให้เรามาเป็นนักรบเพื่อชนะความโกรธแค้นกันบ้างเถิด จะเห็นว่ามีคุณค่าแก่ชีวิตของเรามากมายเหลือเกิน คือจิตใจจะสงบเย็นมากกว่าปกติ แม้จะยังไม่เป็นพระอริยะ แต่จิตใจจะสงบเยือกเย็นมากกว่าคนธรรมดา

ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ปราศจากความโกรธแล้ว แต่เป็นเพียงนักศึกษาผู้ที่ฝึกฝนในเรื่องนี้เท่านั้น และรู้สึกว่าได้เห็นผลของการฝึกฝนพอสมควร จึงอยากจะชักชวนพุทธบริษัทให้สนใจในเรื่องนี้ ขอให้พยายามตั้งสัจจาธิษฐานว่า เราจะพยายามครอบงำความโกรธให้ได้มากที่สุด คราวใดที่แสดงความโกรธ ถึงจะชนะคนอื่น ถึงจะเถียงเขาชนะ คือโวหารหรือวาทะเหนือกว่าในการโต้ตอบ แต่ว่าเราแพ้ตัวเอง

ทางหนึ่งที่เราจะเอาชนะตนเองได้คือ ยอมแพ้ผู้อื่น เพราะว่าโดยปกติธรรมดา พวกเรามักมีนิสัยชอบเอาชนะผู้อื่น แต่ว่าพ่ายแพ้ตนเองโดนที่เราไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้แพ้แล้ว เราโกรธ เราเกลียด เราริษยาด่าทอผู้อื่น เมื่อเขานิ่งไม่โต้ตอบ เราก็คิดว่าเราชนะแล้ว แต่ที่จริงเราพ่ายแพ้ตนเองไปก่อนแล้ว เขาผู้อดทนและนิ่งได้ นั่นแหละเป็นผู้ชนะ

ผู้ที่จะเอาชนะตนเองได้ ต้องเป็นคนผู้ฝึกฝนอยู่เสมอ ให้เข้าใจผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น เดินออกไปเสียจากตัวเอง คือไม่มามุ่นอยู่แต่ความต้องการของตน นึกอยู่เสมอถึงความต้องการของผู้อื่น คือเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นอย่างน้อยก็เสมอกับตัวเอง

ในการยอมแพ้ผู้อื่นหรือพ่ายแพ้ตนเองก็ตาม ถ้าเรายอมแพ้โดยตั้งใจ เราจะไม่มีความขัดแย้งในใจ เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความพ่ายแพ้ เราจะมีความสุขมีความพอใจในความพ่ายแพ้นั้นลักษณะนี้ก็จะทำให้เป็นผู้ชนะใน ความแพ้ คือเอาชนะตนเองได้ ไม่เป็นทุกข์ในความพ่ายแพ้

ฝึกตนให้เป็น คนยอมแพ้เพื่อชัยชนะ และให้เป็นผู้ชนะในความแพ้อยู่เสมอ ก็จะเป็นจ้าวแห่งความสุข ไม่มีอะไรมาทำลายได้

มีโคลงอยู่บทหนึ่ง จำเขามาแต่นึกไม่ออกว่าแหล่งที่มาเป็นที่ไหนบอกว่า

ฆ่าสัตว์เพื่อเสพเนื้อ อีกหวัง
กระดูกงาเขาหนัง เพื่อใช้
ได้สุขแต่ก็ยัง เป็นบาป กรรมเฮย
ฆ่าความโกรธนั้นไซร้ ประโยชน์แท้ บุญเหลือ

ความโกรธไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตามความเข้าใจของคนส่วนมากที่มักหวงแหนความโกรธไว้ เป็นของตน คือเห็นเป็นสิ่งธรรมดาที่จะต้องมีความ โกรธ เหมือนกับเรากินข้าว อาบ น้ำ และขับถ่าย แต่ว่าความโกรธเป็นปัญหาชีวิต ทำให้เกิดปัญหาชีวิต ทำให้เสียสุขภาพกาย สุขภาพจิต เป็นเคราะห์ร้ายของคน เราควรจะละอายตัวเอง ละอายผู้อื่น ทุกครั้งที่เราโกรธจนต้องแสดงกิริยาอาการออกมาเหมือนเราเป็นโรคผิวหนังลอง ฟังเสียงตัวเราเองเวลาเราพูดด้วยความโกรธ จะเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังเลย ไม่น่ารักเลย มันเป็นไปเอง โดยที่เราบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับไม่ได้ สุ้มเสียงมันจะออกมาเอง จะบังคับให้นุ่มนวลให้เรียบสักเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ เพราะว่าเพลิงโทสะมันเผาอยู่ข้างใน มันเหมือนกับว่ามีไฟแล้วก็มีควันออกมา

ใครทำให้เรา โกรธบ่อยๆ เราก็ควรหลีกเลี่ยงคนนั้นเสีย เพราะว่าความโกรธบ่อยๆ และถ้ารุนแรงด้วยจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตมาก มันทำให้หัวใจเต้นแรง เพราะอดรีนาลินมันหลั่งออกมาสารนี้ทำให้ร่างกายวิปริตไปหรือเปลี่ยนแปลงไป เป็นอันตรายมาก บางคนเป็นผู้ใหญ่ โกรธแล้วช็อกตายไปเลยก็มี เคยมีคนสูงอายุโกรธคนใช้มากเอาปืนจะยิงคนใช้ กลับล้มลงตายทั้งที่ยังไม่ทันได้ยิง ฉะนั้นความโกรธนี่มันฆ่าคนไปเยอะแล้ว ฆ่าคนทั้งโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง โดยอ้อมก็คือเป็นเหตุให้คนอื่นมาฆ่าเรา เพราะความโกรธของเราไปประทุษร้ายเขา เขาก็โกรธตอบ บางทีก็มาฆ่า ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย

นอกจากนี้ยัง เป็นการสะสมปฏิฆานุสัย คือ กิเลสสายโทสะส่วนละเอียด ซึ่งจะลงไปก่อตัวสะสมกันอยู่ในจิตส่วนลึก นานไปก็ทำให้เป็นคนมีนิสัยขี้โกรธ กระทบอะไรนิดหน่อยไม่ได้ เหมือนเนื้อส่วนที่เป็นแผลกระทบอะไรเข้าหน่อยก็เจ็บ และเจ็บมากกว่าเนื้อส่วนที่เป็นปกติ เนื้อปกติเอาไม้มาโดนเข้าเอาอะไรมาถูกเข้ามันก็ไม่เป็นอะไร แต่เนื้อที่เป็นแผลอยู่ แม้โดนไม้ธรรมดา ถูกเข้าไปมันก็เจ็บมาก บางทีอาจจะลืมตัวฟาดคนอื่นไป เพราะความเจ็บอันนั้น

ฉะนั้น เราไม่ควรสะสมสิ่งที่ทำให้จิตของเราเป็นแผล ถ้าเป็นแล้วก็ควรรีบรักษาให้หายโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเรื้อรัง รักษายาก อาจไม่หายเลยก็ได้ ก่อให้เกิดทุกข์ทรมานแก่เราไปตลอดชีวิต เราควรยอมให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะทุกข์ ดังนั้นเราจึงควรกำหนดรู้ทุกข์ เรียนรู้ทุกข์ เพื่อจะได้ไม่ทุกข์ เหมือนเราเรียนเรื่องโรค เพื่อจะได้ไม่เป็นโรค เพื่อจะได้หาทางป้องกันโรค หาทางบำบัดโรค

ทุกครั้งที่เราโกรธ เราควรละอายตัวเองให้มาก โดย เฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีจิตสำนึกที่ดี อาจรู้สึกว่าค่าของตนลดต่ำลง เป็นคนไร้ค่าเลยทีเดียว เพราะว่าบางทีด้วยอำนาจของความโกรธ มันทำให้แสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ซึ่งเวลาปกติที่ไม่โกรธมันทำไม่ได้ มันพูดไม่ได้ แต่มันก็ทำได้พูด ได้เวลาโกรธ

ขอให้ท่อง สุภาษิตสั้นๆ เอาไว้ว่า “ถ้าเราไม่ ฆ่ามัน(ความโกรธ) มันก็ฆ่าเรา)” ความโกรธ ความวิตกกังวล ความหมกมุ่นครุ่นคิด ความปล่อยให้สังขารมันปรุงจิตของเราไปในทางที่ไม่ดี ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันฆ่าเราแน่ๆ

เรื่องเล็กน้อย แต่พอเวลาความโกรธเข้าครอบงำจิต ทำให้จิตมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่เท่าภูเขา พอหายโกรธแล้ว จึงเห็นเท่าเม็ดทรายหรือเท่าขี้ผง จะเขี่ยทิ้งไปเมื่อไรก็ได้ ความรัก ความโลภ ก็เช่นเดียวกันเป็นสิ่งที่พรางตา พรางใจ เป็นสิ่งที่บิดเบือนให้เห็นผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง

ความโกรธอาจเกิดจากการที่เราต้องการจะควบคุมอะไรสักอย่างหนึ่งหรือใครสักคนหนึ่งให้เป็น ไปตามที่เราปรารถนา แต่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา สรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยเพียงพอ ถ้าเราคุมไม่ได้ ก็แสดงว่าเหตุปัจจัยไม่เพียงพอ เราจะไปโทษอะไรสักเท่าไรก็ไม่ได้ มันอยู่ที่เหตุปัจจัย

ยิ่งเป็นคนด้วยแล้ว ยิ่งควบคุมยาก ถ้าเราต้องการควบคุมใครเมื่อไร นั่นคือปัญหาและทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเรา แม้ว่าจะควบคุมได้บ้างเป็นบางคราว ก็เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฝืดฝืนแห้งแล้ง ไม่สละสลวยกลมกลืนนุ่มนวล ชุ่ม ฉ่ำ เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ

เขาจะรัก จะชัง จะเกลียด จะชอบ เบื่อ ฯลฯ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เราเป็นแต่เพียงผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง เหมือนฝนตก แดดออก เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น เราจะไปควบคุมมันได้อย่างไร เราอาจจะหาทางป้องกันตัวเองได้บ้าง เช่น กางร่ม สวมหมวก เพื่อกันแดดกันฝน หรือไม่ออกไปข้างนอกเสียก็ได้ เราก็ไม่ถูกแดด ไม่ถูกฝน เราทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนฝนจะตก แดดจะออก ย่อมอยู่เหนือการควบคุมของเรา ก็คือหาวิธีที่พอจะป้องกันตัวเราเองได้เท่านั้น

ข้อมูลจากหนังสือ วิธีลดละความโกรธ โดย วศิน อินทสระ สนพ.ธรรมดา

Source:http://www.mannature.com/view.asp?ID=92

อัมพาตครึ่งใบหน้า


หากจะกล่าวถึงชื่อ “ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เคยผ่านการทำงานมาหลากรูปแบบ หลายแขนง จนภาพของหนุ่มใหญ่รายนี้ในสายตาประชาชนทั่วไป เป็นภาพของทั้งนักการเมือง นักการศึกษา นักบริหาร นักวางนโยบาย และอีกหลายๆ “นัก” ที่เกิดจากประสบการณ์อันมีคุณค่าที่เจ้าตัวได้สั่งสมมาตลอดเส้นทางสายชีวิต ทำให้หลายๆ คนมองว่าดร.อาทิตย์ เป็นคนทำงานกระฉับกระเฉง ทำงานฉับไว สุขภาพดี แต่ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้ หนุ่มใหญ่รายนี้เพิ่งจะถึงขั้น “ล้มหมอนนอนเสื่อ” ด้วยโรคที่เราๆ ท่านๆ ไม่ค่อยจะคุ้นหูกันนัก

“ผม เพิ่งจะป่วยเป็นโรค Bell's Palsy ฟังดูชื่อไม่ค่อยจะคุ้นกันเท่าไหร่ มันมาจากชื่อของหมอที่ค้นพบ และศึกษาโรคนี้เป็นคนแรกที่ชื่อ หมอเบลล์ ตอนนี้ก็กำลังรักษาอยู่ นี่ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ดีกว่าเดิมมากแล้ว รักษาทั้งยาและการทำกายภาพบำบัดครับ”

อธิการมหาวิทยาลัยรังสิต เริ่มต้นเปิดประสบการณ์ป่วยในครั้งนี้ ก่อนจะอธิบายว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดอาการป่วยด้วยโรคนี้ ได้ไปนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหารริมถนน ที่ฝุ่นค่อนข้างมาก หลังจากนั้น กลับมาถึงบ้านก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ

“อาการของผมมันเริ่มด้วยความ รู้สึกปวดๆ ที่หลังหู ลักษณะอาการปวดมันจะปวดแบบแปล๊บๆ ปวดเหมือนไฟช็อต ตอนแรกคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็ปล่อยไปจนเริ่มรู้สึกผิดปกติที่บริเวณใบหน้า”

ดร.อาทิตย์ กล่าวต่อว่า อาการเจ็บแปล๊บๆ ที่หลังหูนั้น มาทราบเอาภายหลังหลังจากเข้ารับการรักษา โดยได้รับคำอธิบายจากแพทย์เจ้าของไข้ ว่า เกิดจากอาการปลายประสาทคู่ที่ 7 ของสมองซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเกิดอักเสบ

“สิ่ง บ่งบอกให้ผมรู้ตัวว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติก็คือ ผมล้างหน้าแล้วน้ำเข้าตา เ พราะดวงตามันปิดไม่สนิท ต่อมาอีกราวๆ 2-3 วัน มีต้องไปงาน เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกเลยว่าปากเบี้ยว ยิ้มไม่ได้ ก็โทรหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่า ให้รีบมา อาการที่บอกน่าจะเกิดจากโรค Bell's Palsy เราก็ถามคุณหมอเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มาจากไหน คุณหมอก็บอกว่าอาจจะเป็นไวรัส”

ดร.อาทิตย์ กล่าวอีกด้วยว่า ระหว่างที่ป่วยไม่ได้มีอาการเจ็บปวด แต่จะรู้สึกอึดอัดทรมานกับภาวะที่ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าตัวเองได้ “ยิ้มไม่ได้ กินข้าวก็ลำบากขึ้น แต่ที่ยากที่สุดคือการดื่มน้ำ เพราะมันคุมปากไม่ได้ มันจะรั่วออกมา” อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับใคร และกลุ่มเสี่ยงอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่ เพศไหน เกิดจากสาเหตุ ใด "นพ.เอกพจน์ นิ่มกุลรัตน์" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ประสาทวิทยา ให้ความกระจ่างในข้อสงสัยนี้ว่า โรค Bell's Palsy นี้ คือโรคที่ก่อให้เกิดภาวะอัมพาตบนใบหน้า

“Bell's Palsy เป็นการอักเสบของเส้นประสาทของสมองคู่ที่7 ที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อ จริงๆ ทั่วโลกก็มีคนป่วยเป็นโรคนี้ แต่ไม่ได้มีการเก็บสถิติว่ามีมากน้อยแค่ไหน แล้วจนปัจจุบันก็ยังไม่แน่ชัดว่าสาเหตุจริงๆ เกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นไปได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส โรค นี้เกิดกับคนได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อายุมากๆ จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าวัยอื่น”

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทรายนี้ กล่าวต่ออีกว่า นับว่า ดร.อาทิตย์ เป็นผู้ป่วยที่โชคดีมาก ที่ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายเร็ว และมาพบแพทย์เร็ว เพราะหากรักษาทันในระยะที่เพิ่งจะเริ่มป่วย 2-3 วันแรก การรักษาจะง่ายกว่า และจะหายเร็วกว่า แต่หากปล่อยให้นานกว่านี้ คือ 4-5 วันนับแต่รู้สึกว่าเกิดความผิดปกติจะถือว่าค่อนข้างช้า และทำให้การรักษายากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หายช้ากว่าเดิมหลายเดือนเลยทีเดียว

“โรค นี้ไม่ได้ทำให้ถึงกับเสียชีวิต มากที่สุดก็คือ ใบหน้าจะเป็นอัมพาตถาวร ซึ่งแม้มันจะไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องของรูปลักษณ์ เพราะเวลาไปไหนมาไหนคนเราก็ดูหน้าก่อนเป็นอย่างแรก หากเป็นอัมพาตไปครึ่งหน้า ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ปากเบี้ยว ยิ้มแล้วปากไม่เท่ากัน มันก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพพอสมควร”

นพ.เอกพจน์ กล่าวอีกว่า อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยโรค Bell's Palsy ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน คือมีไข้ต่ำๆ และรู้สึกปวดเมื่อเนื้อตัวคล้ายๆ จะเริ่มเป็นหวัด หลังจากนั้น ก็จะมีอาการปวดแปล๊บๆ ที่เส้นประสาทสมองคู่ที่7 จากปลายประสาทอักเสบ ไปจนถึงภาวะอัมพาตครึ่งใบหน้าที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าของ ตัวเองได้

“วิธีการรักษาทั่วไปก็คือจะให้ยาเสตียรอยด์ควบคู่ไปกับการให้ยาบำรุงปลายประสาทที่อักเสบ และทำกายภาพบำบัด ส่วนการป้องกันนั้น เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าโรค Bell's palsy นี้เกิดจากสาเหตุใดกันแน่ แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเกิดจากไวรัสที่ขณะนี้ยังไม่ทราบชนิดที่แน่ชัด วิธีการป้องกันก็คือทำร่างกายให้แข็งแรงและพักผ่อนให้เพียงพอครับ โรคนี้ไม่ได้ไกลตัว สามารถเกิดขึ้นได้ และหากรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติอย่างที่อธิบายมา ผู้ป่วยควรต้องรีบไปพบแพทย์ในทันที” นพ.เอกพจน์ ทิ้งท้าย

Source: http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000037561